สายการบินเอมิเรตส์(Emirates) เริ่มต้นบินตรงมาที่ประเทศไทยตั้งแต่ปี 1990 และกำลังจะเฉลิมฉลอง 35 ปี แห่งความสัมพันธ์อันดีที่ให้บริการ และปัจจุบันนี้ก็มีเที่ยวบินระหว่างดูไบและกรุงเทพฯ วันละ 5 เที่ยวบิน โดยใช้เครื่องบินขนาดใหญ่อย่างแอร์บัส A380 และโบอิ้ง 777 ควบคู่กับเที่ยวบินไป-กลับ ภูเก็ต และ ดูไบ วันละ 2 เที่ยวบิน นอกจากนี้เที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปยังฮ่องกง ก็ได้รับความนิยมขนาดให้บริการวันละ 1 เที่ยวบิน
กรุงเทพฯ ยังเป็นจุดหมายปลายทางที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเอมิเรตส์ในด้านจำนวนที่นั่งผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจ ตอกย้ำถึงความนิยมในการเดินทางและความต้องการบริการระดับพรีเมียมที่เพิ่มสูงขึ้น
Emirates ทุ่ม 160 ล้าน
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยคือฮับหรือศูนย์กลางการเดินทางที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับ สายการบินเอมิเรตส์ และในเมื่อมีฐานลูกค้าที่ใช้บริการอย่างต่อเนื่องรวมทั้ง “เอมิเรตส์” ต้องการตอกย้ำภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับการสะท้อนถึงความหรูหราและสะดวกสบายที่ควบคู่กับการเดินทางกับ ดังนั้น สายการบินเอมิเรตส์ จึงทุ่มงบประมาณ กว่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ160 ล้านบาท ใช้เวลาราว 6 เดือน ปรับปรุงห้องรับรองผู้โดยสาร (Emirates Loungue) แห่งใหม่ บนพื้นที่กว้างถึง 1,454 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 250 คน พร้อมมอบความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารระดับพรีเมียมที่เดินทางในเที่ยวบินแอร์บัส A380 พร้อมกันถึง 2 เที่ยวบิน โดยการขยายพื้นที่ครั้งนี้ ทำให้ห้องรับรองผู้โดยสารในกรุงเทพฯ ขึ้นแท่นเป็นห้องรับรองผู้โดยสารนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดของเอมิเรตส์ รองจากฐานบินหลักในดูไบ และเป็นเลาจน์ผู้โดยสารสายการบินแรกของอาคาร SAT-1
สำหรับ Emirates Lounge แห่งนี้ ประกอบไปด้วยเก้าอี้ในรูปแบบโซฟา และที่นั่งรับประทานอาหาร นอกเหนือนี้ยังมีแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย ส่วนอาหารเสิร์ฟอาหารฮาลาลตลอดวัน จัดเต็มทั้งเครื่องดื่ม ชา กาแฟ จากเครื่องชง iLLY อีกทั้งยังมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในส่วนของห้องน้ำก็มีพื้นที่ทำความสะอาดร่างกายสำหรับผู้ที่ต้องการทำละหมาด พร้อมห้องประกอบพิธีแยกชาย-หญิง พร้อมด้วยเคาน์เตอร์เช็กอินพิเศษ และใช้เวลาเดินเพียง 5 นาทีไปยังประตูขึ้นเครื่อง
![](data:image/svg+xml,%3Csvg%20xmlns='http://www.w3.org/2000/svg'%20viewBox='0%200%201024%20683'%3E%3C/svg%3E)
ปีที่แล้ว ประเทศไทยคือ Top Destination
คุณโมฮัมเหม็ด อัล วาเฮดิ ผู้จัดการ สายการบินเอมิเรตส์ ประจำประเทศไทย ย้ำถึงความสำคัญของประเทศไทย รวมทั้งอธิบายว่า “ปัจจุบันนี้ความนิยมในการเดินได้กลับมาเทียบเท่าก่อนสถานการณ์ Covid-19 แล้ว และนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากด้วยวัตถุประสงค์การเดินทางที่แตกต่างกันออกไป และหลากหลายช่วงเวลา สำหรับกลุ่มลูกค้าครอบครัว ก็จะเดินทางช่วงที่เด็กๆ ปิดเทอม หรือช่วง Long Weekend ก็มีหลายครอบครัวเดินทางมาที่ประเทศไทย เพราะใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 6 ชั่วโมงเท่านั้น ปีที่แล้วประเทศไทยก็เป็น Top Destination ของการเดินทาง ไม่ใช่ยุโรป”
สำหรับความท้าทายของ เอมิเรตส์ คุณโมฮัมเมด มองว่าไม่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นในอุตสาหกรรมที่ต้องคำนึงถึง “ต้นทุนด้านพลังงาน” ส่วนเรื่องการแข่งขันสายการบินเอมิเรตส์มุ่งเน้นสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า และขยายเครือข่ายเส้นทางการบิน ที่ในตอนนี้มี 140เส้นทาง และจะพิจารณาอย่างรอบคอบในการเพิ่มเที่ยวบินใหม่ๆ สำหรับประเทศไทยเอมิเรตส์ก็ยังทำงานร่วมกับ AOT อย่างใกล้ชิด