ตลาดไอศกรีมในไทยยังคงดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มแมส ที่มีทั้งแบรนด์ท้องถิ่นและแบรนด์ยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศเข้ามาแข่งขัน โดยเฉพาะเชนยักษ์ใหญ่จากจีนที่เข้ามาขยายสาขาเป็นจำนวนมาก ทำให้หนึ่งในผู้เล่นหลักของตลาดอย่าง “แดรี่ ควีน” ต้องปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่
โดยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา “แดรี่ ควีน” เริ่มมองหาโอกาสทางการเติบโตใหม่ๆ ไล่เรียงมาตั้งแต่ การเปิดตัวเมนูอาหารว่างภายในร้าน สาขารูปแบบต่างๆ ไปจนถึงกิจกรรมการตลาดที่กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ และการขยายสาขาออกนอกศูนย์การค้าในรูปแบบใหม่ๆมากขึ้น
เปิดโมเดลใหม่ จากศูนย์การค้าสู่ทำเลร้านสะดวกซื้อ
ล่าสุดกับการเปิดโมเดลใหม่ด้วยการมุ่งขยายสาขาออกจากศูนย์การค้าไปสู่ ทำเลร้านสะดวกซื้อโดยเริ่มจาก 7-Eleven ซึ่งเป็นเครือข่ายร้านค้าปลีกที่มีสาขามากที่สุดในไทย
คุณอนุพนธ์ นิธิยานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา แดรี่ ควีน ได้เปิดร้านในทำเลเดียวกับ 7-Eleven แล้ว 5 สาขา ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขตปริมณฑล ผลลัพธ์ที่ได้คือ ยอดขายเติบโตขึ้นกว่า 20-30% โดยเฉลี่ยจาก 500,000 บาทต่อเดือน พุ่งขึ้นเป็น 700,000-800,000 บาทต่อเดือน
การปรับตัวของ “แดรี่ ควีน” ในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ หลังช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาที่ผ่านมาทางแบรนด์ได้มีการขยายสาขาออกไปยังทำเลใหม่ๆ นอกศูนย์การค้ามาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น สถานีบริการน้ำมัน คอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่งประสบความสำเร็จและได้รับเสียงตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
ขยายเพิ่ม 10 สาขา พร้อมเปิดขายแฟรนไชส์ รองรับลูกค้า
ส่วนในปี 2568 นี้ “แดรี่ ควีน” วางเป้าหมายในการขยายสาขาในทำเลร้านสะดวกซื้อเพิ่มไม่น้อยกว่า 10 สาขา พร้อมเปิดขายแฟรนไชส์สำหรับผู้ที่สนใจ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ 5 สาขาแรกเป็นการลงทุนของบริษัทเองทั้งหมด และไม่ได้จำกัดแค่ 7-Eleven เท่านั้น แต่เปิดกว้างให้ขยายไปยังร้านสะดวกซื้อแบรนด์อื่น ๆ ขอเพียงเป็นทำเลที่มีศักยภาพและมีผู้คนอาศัยหนาแน่น
อย่างไรก็ตามแม้การเปิดร้านในร้านสะดวกซื้อจะต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มขึ้น จากเดิมร้านทั่วไปใช้เงินลงทุน 1.5-1.7 ล้านบาทต่อสาขาที่มีพื้นที่ 25-30 ตารางเมตร แต่ในโมเดลใหม่นี้ ใช้งบลงทุน สูงถึง 2 ล้านบาท เนื่องจากขยายพื้นที่ร้านให้ใหญ่ขึ้นเป็น 40-50 ตารางเมตร พร้อมจัดพื้นที่ให้นั่งรับประทานในร้านได้ เหมือนกับร้านในห้างฯ โดยโมเดลนี้สามารถกระตุ้นการจับจ่ายของลูกค้าได้เป็นอย่างดี มีค่าใช้จ่ายต่อบิลของลูกค้าเพิ่มขึ้นจาก 120 บาท เป็น 200 บาท เพราะร้านแบบใหม่นี้ดึงดูดลูกค้าที่ต้องการใช้เวลานั่งทานในร้านได้มากขึ้น ไม่ใช่แค่ซื้อกลับบ้านอย่างเดียว
ขณะเดียวกันปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทำเลร้านสะดวกซื้อมียอดขายดีกว่าร้านในห้างฯ คือ เวลาทำการที่ยืดหยุ่นขึ้น ไม่ต้องเปิด–ปิดตามเวลาห้าง โดยสามารถเพิ่มเวลาขายได้มากขึ้น อาจจะเป็น 9.00-23.00 ก็ได้ นอกจากนี้ด้วยทำเลที่หลากหลายอยู่ใกล้ชุมชน ทำให้ลูกค้าสามารถสั่งดีลิเวอรี่ได้ง่ายขึ้น
ท้ายที่สุดด้วยแนวทางการขยายธุรกิจไปยังทำเลใหม่ ที่เข้าใกล้ชุมชน ลูกค้ามากขึ้น อาจทำให้แดรี่ควีนกลายเป็นแบรนด์ไอศกรีมที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าที่เคย พร้อมรับมือกับการแข่งขันในตลาดที่ร้อนแรงขึ้นทุกวัน