ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีก่อน อาจไม่มีใครคิดว่าเทคโนโลยีจะกลายเป็นศูนย์กลางของทุกอุตสาหกรรมได้เหมือนในปัจจุบัน ยิ่งเมื่อผนวกกับการมาถึงของ “เอไอ (AI : Artificial Intelligence)” ความสำคัญของเทคโนโลยีจึงกลายเป็นหัวข้อเสวนาหลักในเวทีประชุมยักษ์ใหญ่ด้านเศรษฐกิจระดับโลกอย่าง World Economic Forum หรือแม้แต่ APEC ฯลฯ โดยที่หลายคนไม่ทันรู้ตัว
ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า เหตุที่เทคโนโลยีและ AI พาผู้นำระดับโลกไปสู่การพูดคุยในหัวข้อดังกล่าว อาจเป็นเพราะผู้นำเหล่านั้นต้องแบกรับความท้าทายมากมาย ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ซึ่งการมีเทคโนโลยี หรือการใช้ AI ถูกมองว่าอาจเป็น “ทางออก” ของเรื่องนี้
หันกลับมาที่ประเทศไทย ซึ่งเผชิญหน้ากับความท้าทายมากมายไม่แพ้กัน ก็มีการหยิบยกประเด็นของ AI และนวัตกรรมมากล่าวถึงบนเวที Digital Transformation : Spark the Future ในงาน Open House ของทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ได้อย่างน่าสนใจ ผ่าน 3 ผู้คร่ำหวอดในวงการ ที่สำคัญ ยังมาพร้อมเทคนิคให้องค์กรและบุคคลปรับตัว ในเวลาที่ AI อาจเข้ามาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างงาน และโอกาสในการเติบโตของมนุษย์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนด้วย
(ซ้ายไปขวา) คุณฐากร ปิยะพันธุ์, คุณศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร, คุณธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ และดร. วิโรจน์ จิรพัฒนกุล
AI ไม่ใช่เรื่องของ “หลังบ้าน” อีกแล้ว
เวทีดังกล่าวเริ่มต้นจากคุณธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่สะท้อนมุมมองว่า AI ไม่ใช่เรื่องของ “หลังบ้าน” อีกต่อไป แต่วันนี้ AI คือเครื่องมือสำคัญที่ธุรกิจต้องเข้าใจและปรับใช้ให้เป็น ไม่อย่างนั้น อาจไม่ใช่แค่ตามหลัง แต่คือหลุดจากเกมไปเลย
“กว่า 30 ปีในวงการเทคโนโลยี ไม่มีช่วงเวลาไหนที่เทคโนโลยีมีบทบาทในทุกอุตสาหกรรมและทุกระดับของสังคมทั่วโลกมากเท่ากับปัจจุบัน ไม่ว่าคุณจะอยู่ในธุรกิจใด AI และดิจิทัลได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้”
“แม้งานประชุมสำคัญระดับโลก เช่น APEC จะไม่ได้เป็นงานด้านเทคโนโลยีโดยตรง แต่เกือบครึ่งของเนื้อหาภายในงานก็ยังคงเกี่ยวข้องกับ AI และเทคโนโลยีดิจิทัล ล่าสุดในการประชุม World Economic Forum (WEF) ก็มีหลากหลายเซสชันที่พูดถึง AI และเทคโนโลยี หนึ่งในคำถามสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาในงานคือ “ถ้าเราต้องการปลดล็อกการเติบโตของโลก อะไรคือสิ่งที่จำเป็นต้องทำ?” และคำตอบที่ได้คือ “ดิจิทัลและ AI”
คุณธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด
จากเบื้องหลังสู่หัวใจของธุรกิจ
ในอดีต IT เคยถูกมองว่าเป็นฝ่ายสนับสนุนหรือ “back office” ขององค์กร เวลาผู้บริหารต้องการตัดสินใจเรื่องเทคโนโลยี ก็มักจะถูกส่งต่อไปยังทีม IT แต่วันนี้ ใครที่ยังมองว่าเทคโนโลยีเป็นเรื่องของทีม IT อย่างเดียว อาจต้องทบทวนใหม่ เพราะโจทย์ของ AI ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่เป็น “โจทย์ของธุรกิจ” โดยตรง ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยี AI ในปัจจุบันสามารถช่วยให้ธุรกิจลดต้นทุน และเพิ่มความเร็วในการตอบสนอง ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการแข่งขันทางธุรกิจ
AI กับ Productivity ที่ก้าวกระโดด
คุณธนวัฒน์กล่าวต่อไปด้วยว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยปรับปรุงการทำงานเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มผลผลิต (Productivity) ของพนักงานโดยตรง ตัวอย่างเช่น GitHub Copilot ของ Microsoft ที่พบว่าช่วยเพิ่ม Productivity ของโปรแกรมเมอร์ได้ถึง 40-50% หรือกรณีของ TTB ก็มีการใช้ GitHub Copilot อย่างเข้มข้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับงานภายในองค์กรเช่นกัน
“ปัจจุบัน AI ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้ที่มีความรู้ด้านการเขียนโค้ด (High-Code) อีกต่อไป แต่ทุกคนสามารถใช้ AI ได้ผ่านแนวคิด “AI Agent” ซึ่งเป็นตัวช่วยที่สามารถดำเนินการบางส่วนของกระบวนการทำงานได้โดยอัตโนมัติ เช่น การสรุปข่าวสารตอนเช้า หรือช่วยวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจในแต่ละวัน เรากำลังเข้าสู่ยุคที่ไม่ได้มีแค่โปรแกรมเมอร์เท่านั้นที่สามารถพัฒนาแอปพลิเคชันได้ แต่ใครก็ตามที่รู้จักใช้ API และเข้าใจพื้นฐานของ AI ก็สามารถสร้างแอปของตัวเองได้เช่นกัน”
AI มาแทนที่มนุษย์หรือช่วยเสริมศักยภาพ?
คุณธนวัฒน์กล่าวถึงคำถามที่หลายคนกังวลคือ AI จะมาแทนที่งานของมนุษย์หรือไม่ด้วยว่า “สิ่งที่เราพบเห็นในปัจจุบันคือ AI ไม่ได้มาแทนที่มนุษย์ทั้งหมด แต่ทำหน้าที่เสริมศักยภาพให้มนุษย์ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ในกระบวนการทำงานหนึ่ง อาจมี 20 ขั้นตอน AI สามารถเข้ามาช่วยทำบางส่วน ในขณะที่มนุษย์ยังคงมีบทบาทสำคัญในกระบวนการโดยรวม ซึ่งปีนี้เป็นปีที่เราจะได้เห็น AI ถูกนำไปใช้จริงในธุรกิจมากขึ้น แม้ว่าไทยอาจจะเดินช้ากว่าหลายประเทศ แต่เรามีทุกองค์ประกอบที่พร้อมจะก้าวสู่อนาคตของ AI อย่างเต็มรูปแบบ หากองค์กรและภาครัฐสามารถเร่งการปรับตัวได้ทัน AI จะไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่จะเป็น “ตัวเร่งการเติบโต” ที่สำคัญของธุรกิจไทยในอนาคต”
เคสน่าสนใจจาก MFEC ถ้าลอจิกไม่ถูกต้อง AI อาจไร้ประโยชน์
คุณศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร ประธานเจ้าหน้าที่
อีกหนึ่งผู้คร่ำหวอดในวงการเทคโนโลยีและแบ่งปันประสบการณ์ในโลกดิจิทัลได้อย่างน่าสนใจก็คือคุณศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร ประธานเจ้าหน้าที่
“ถ้าทำงานเป็นผู้ช่วยพี่ น้องต้องปรับตัวเข้ากับเอไอให้ได้ แล้วน้องจะอยู่ทำงานอย่างมีความสุข แต่ถ้าน้องปรับตัวเข้ากับเอไอไม่ได้ น้องจะเครียดและเหนื่อยมาก”
“กิจกรรมปีที่แล้วมีอะไรบ้าง มีขายกิจการไปสองบริษัท ต้องทำ M&A มีปรับโครงสร้าง ทำดิจิทัลทรานสฟอร์มเมชัน ฯลฯ ตอนแรกที่ทำ หน้าตาน้องเหมือนจะร้องไห้ตลอดเวลา ผ่านไปหนึ่งปี น้องเขาบอกว่า ต่อไปพี่จะสั่งงานอะไรก็ไม่กลัวแล้ว เพราะมีเอไอ ครั้งแรกไม่รู้เรื่อง กลับมาถามคืนนี้เดี๋ยวก็รู้เรื่อง”
“คำถามคือ น้องที่ทำกระบวนการพวกนี้ ควรจะได้เงินเดือนเท่าไร อย่างน้อยก็เจ็ดแปดหมื่น แต่นี่เด็กจบใหม่ ทำได้เหมือนกันในเวลาไม่ถึงปี สิ่งที่ผมจะบอกแต่ละองค์กรก็คือ ให้ประเมินงานของเรา ซึ่งผมขอแบ่งเป็นงานสามประเภท นั่นคือ
- งานที่ไม่ว่าเราทำอะไรก็ตาม จะสู้อีกคนหนึ่งไม่ได้
- งานที่ไม่ว่าเราทำอย่างไรก็ตาม ก็จะได้ผลงานเท่า ๆ กับอีกคนหนึ่ง
- งานที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม ก็จะเหนือกว่าอีกคนหนึ่งเสมอ
“จากตัวอย่าง สมมติงานที่สอง คนหนึ่งเงินเดือนสองแสน อีกคนเงินเดือนสามหมื่น ทำไมต้องให้คนเงินเดือนสองแสนทำ ในเมื่อคนสามหมื่นก็ทำได้ อันนี้เห็นชัดเจน ว่ามันเปลี่ยน มันดิสรัป เพราะเขาใช้ AI จน AI กลายเป็นทีมเมมเบอร์ไปแล้ว”
เจาะวิธีสัมภาษณ์งานคนรุ่นใหม่ MFEC
“หุ้นตัวเดียวกัน เคยเห็นไหมครับ คนหนึ่งเล่นแล้วกำไร อีกคนเล่นแล้วขาดทุน เทคโนโลยีก็เหมือนกัน มีคนที่ใช้เทคโนโลยีตัวนี้แล้วมีอิทธิฤทธิ์ กับคนที่ใช้เทคโนโลยีตัวเดียวกันแต่ขาดทุน สิ่งที่จะบอกคือ People, Process และ Technology สำคัญที่สุดคือ People“
คุณศิริวัฒน์กล่าวต่อถึงความสำคัญของ People ผ่านการดูแลพนักงาน ตลอดจนการคัดเลือกคนเข้าทำงานใน MFEC ว่า “เวลาคนติดยามาสมัครงาน เรารับไหม ก็ไม่รับ แต่ถ้าน้องเข้ามาแล้วมารู้ว่าติดยา จะรับมืออย่างไร ซึ่งอาการของคนติดฝิ่น กับคนติดโซเชียลมีเดีย คืออาการเดียวกัน สองสิ่งนี้ทำลายสมองส่วนหน้าเหมือนกัน”
“การที่เราอยู่ในลูปของการใช้โซเชียลมีเดีย ความสามารถในการคิดซับซ้อน หรือมีสมาธิได้ยาว ๆ จะน้อยลงเรื่อย ๆ เราสนใจแต่ปัญหาสมาธิสั้นในเด็ก แต่ตัวที่อันตรายที่สุดคือผู้ใหญ่แบบเรา ผมเล่นหมากล้อม ถ้าเราเข้าใจทุกมูฟของคู่แข่ง เราชนะแน่ ๆ เรากลัวอย่างเดียว ถ้าเดินมาแล้วไม่เข้าใจ เดินอีกสามสี่ตา กว่าจะเข้าใจ เขาก็รุกแล้ว ซึ่งความสามารถในการคิด 4 – 5 ตาล่วงหน้าของผู้ใหญ่น้อยลงเรื่อย ๆ”
“หรือเวลามีดราม่าในสังคม แรก ๆ ทัวร์ลงฝั่งซ้าย อีกสามสี่วัน ทัวร์ลงฝั่งขวา ก็อาจสนุกดี แต่ถ้ามันเกิดในออฟฟิศเราล่ะ คนเราเวลาติดกับดัก Productivity, Efficiency ต้องการทำอะไรเร็ว ๆ ในทางวิศวะ มันมีคำตอบว่า ทางที่ทำให้เร็วมีอย่างเดียวคือ บายพาส หรือซิมพลิฟายมัน ซึ่งทุกวันนี้ เราโอเวอร์ซิมพลิฟลาย และบายพาสการทำงานของสมอง แล้วคนที่สมองส่วนหน้าถูกทำลายทุกครั้งที่เราเล่นโซเชียลมีเดียเนี่ย จะเป็นอย่างไร”
“เราเป็นชนชาติที่ใช้โซเชียลมีเดียรุนแรงที่สุด และสกิลบางอย่างมันเทรดออฟนะครับ เวลาเรามีลูกมีหลานใช้ไอแพดเยอะ ๆ ไปบอกให้เลิกเล่นไม่ได้นะ ต้องหากิจกรรมอะไรไปแทนที่กิจกรรมการเล่นไอแพดนั้น แล้วพนักงานเราล่ะ ที่ MFEC เลยเพิ่มกิจกรรมออกกำลังกาย โยคะต่าง ๆ”
“ผมเชื่อว่า วิธีการสัมภาษณ์งานคนรุ่นใหม่ ก็ต้องแตกต่างออกไปในวันที่ AI เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง การรับพนักงานใหม่ของ MFEC เราต้องการคนที่ทำอะไรช้า ฟังแล้วอาจจะขัด ๆ เพราะสังคม Move ด้วยความเร็ว แต่เราต้องการคนตรงกันข้าม วันที่ Knowledge – Intelligence กลายเป็น commodity เรามี ChatGPT ฯลฯ เราต้องการคนที่มีลอจิกของการคิดที่ถูกต้อง ถ้าไม่มีลอจิกที่ถูกต้อง
เวลาบวกกับเอไอเราจะหลงเร็วมากเลย”
เปิด 3 ทักษะคนรุ่นใหม่ควรมีติดตัว
ดร.วิโรจน์ จิรพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท สคูลดิโอ (Skooldio)
เพื่อเป็นแนวทางสำหรับคนรุ่นใหม่ ดร.วิโรจน์ จิรพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท สคูลดิโอ (Skooldio) ได้กล่าวถึงทักษะที่จำเป็นเอาไว้ 3 ข้อ นั่นคือ
ทักษะด้านดิจิทัล
เช่น การมี Digital Literacy หรือความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือดิจิทัลและระบบอัตโนมัติ การเป็น Citizen Developer ที่สามารถสร้างและพัฒนาโซลูชันดิจิทัล (แม้ไม่ต้องเขียนโค้ด) ความสามารถด้าน Data Literacy ที่สามารถอ่าน วิเคราะห์ และใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์ได้, การเข้าใจ Data-Driven Policy เพื่อให้สามารถออกแบบฟีเจอร์ และนโยบายต่าง ๆ โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์มาอย่างดี แทนการใช้เพียงความคิดเห็นส่วนตัว และ AI Literacy หรือก็คือความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพในงานประจำวัน
ทักษะด้านมนุษย์ (Human Skills)
แม้ AI จะฉลาดขึ้นทุกวัน แต่ยังมีบางสิ่งที่มนุษย์ทำได้ดีกว่า นั่นคือ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ และการสื่อสารให้ผู้คนเข้าใจ ตลอดจนความสามารถในการสร้างความเชื่อใจ มั่นใจให้เกิดกับมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งเหล่านี้ยังเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถทำได้ดีเท่ามนุษย์
ทักษะด้านเทคโนโลยีขั้นสูง (Advanced Tech Skills)
สุดท้ายคือทักษะด้านเทคโนโลยีขั้นสูง เนื่องจากการนำ AI เข้ามาใช้ในองค์กรต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่ดี ดังนั้น ความรู้ในด้านนี้จะช่วยให้เด็กจบใหม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งทักษะเหล่านี้ ได้แก่
- Cloud Infrastructure : ความเข้าใจเกี่ยวกับการนำข้อมูลขึ้นคลาวด์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผล
- Data Engineering : การสร้างโครงสร้างข้อมูลที่ดีเพื่อรองรับการทำงานของ AI
- การจัดเก็บและบริหารข้อมูลอย่างเป็นระบบเพื่อให้พร้อมใช้งาน
- UX/UI Design การออกแบบอินเทอร์เฟซให้ใช้งานง่ายและสามารถรองรับลูกค้าได้จากทุกช่องทาง
ทั้งหมดนี้อาจกำลังสะท้อนว่า ไม่ว่าองค์กรจะเล็กหรือใหญ่ แต่ในยุคดิจิทัล สิ่งที่องค์กรจำเป็นต้องมีก็คือการผสมผสานของหลายทักษะ รวมถึงการถ่ายทอดประสบการณ์ของคนจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งบุคคลที่สามารถพัฒนาทักษะเหล่านี้ได้ จะมีโอกาสมากขึ้นในการทำงานและเติบโตในสายอาชีพ ขณะที่องค์กรเองก็จะสามารถใช้ทั้ง AI และพนักงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง