DHL (ดีเอชแอล) บริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำของโลก ประกาศเดินหน้ากลยุทธ์ Strategy 2030 – Accelerate Sustainable Growth หวังผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของเอเชีย ท่ามกลางกระแสธุรกิจที่มุ่งสร้างซัพพลายเชนที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ
ในประเทศไทย DHL ทั้งสี่หน่วยธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์อย่างเต็มรูปแบบ ได้แก่ DHL eCommerce, DHL Express, DHL Global Forwarding และ DHL Supply Chain ช่วยให้ภาคธุรกิจไทยสามารถเข้าถึงเครือข่ายและโซลูชันระดับโลกของ DHL ในฐานะพันธมิตรโลจิสติกส์ที่ให้บริการแบบครบวงจร
5 เมกะเทรนด์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
DHL ปรับกลยุทธ์รองรับ 5 เมกะเทรนด์หลัก ที่กำลังเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย ได้แก่ การค้าโลก อีคอมเมิร์ซ ความยั่งยืน ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน และการพัฒนาทรัพยากรบุคคล โดยใช้ศักยภาพของทั้ง 4 หน่วยธุรกิจในไทย แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงในภาคอุตสาหกรรมเหล่านี้จะนำมาซึ่งความท้าทายใหม่ๆ แต่ด้วยการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วโลกของ DHL ทำให้บริษัทสามารถคว้าโอกาสสำคัญในการทำให้ธุรกิจเติบโต
เฮอร์เบิต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ DHL Express ประเทศไทย และหัวหน้าภาคพื้นอินโดจีน กล่าวว่า “เครือข่ายของเราที่ครอบคลุม 220 ประเทศ พร้อมด้วยโครงสร้างพื้นฐานทางอากาศและภาคพื้นดินส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญของการค้าโลก เราช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจทุกขนาดในประเทศไทยให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากโอกาสธุรกิจที่มีทั่วโลก และส่งเสริมอนาคตที่ยั่งยืนผ่านโซลูชันที่เชื่อถือได้และมีประสิทธิภาพ เช่น บริการ GoGreen Plus เราพร้อมเชื่อมต่อประเทศไทยกับทั่วโลกและเปิดตลาดใหม่ให้แก่ธุรกิจไทย”
3 ปัจจัยหนุนการเติบโตของ DHL ในไทย
1. โอกาสจากการกระจายฐานการผลิต
แม้เวียดนามและอินโดนีเซียจะเป็นเป้าหมายของการย้ายฐานการผลิต แต่ไทยยังมีศักยภาพโดดเด่นด้าน อุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ โดยในปี 2567 การส่งออกของไทยเติบโตถึง 5.4% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีตลาดสำคัญ เช่น สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรปเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโต โดยสหราชอาณาจักรกำลังก้าวขึ้นมาเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับภาคธุรกิจไทย
2. ไทยเป็นศูนย์กลาง EV ในอาเซียน
DHL มองเห็นโอกาสในอุตสาหกรรมพลังงานใหม่ โดยเฉพาะ EV ซึ่งไทยมีเป้าหมายผลิต EV 30% ของปริมาณรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573 พร้อมนโยบายภาครัฐในการดึงดูดผู้ผลิตจากต่างประเทศให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศ DHL จึงพัฒนาโซลูชันโลจิสติกส์เฉพาะทางเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้
3. อีคอมเมิร์ซโตแรง ดัน SME ไทยสู่ตลาดโลก
ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยคาดว่าจะเติบโตจาก 26,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566 เป็น 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2568 DHL มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน SME กว่า 3.2 ล้านราย ที่สร้างมูลค่าเศรษฐกิจถึง 35% ของ GDP
ตัวอย่างความสำเร็จ เช่น Gentlewoman และ Fairtex ที่ใช้โซลูชันของ DHL ขยายตลาดสู่ต่างประเทศ นอกจากนี้ DHL ยังพัฒนาโครงการ GoTrade ร่วมกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (OSMEP) เพื่อช่วย SME ไทยรุกตลาดโลกอย่างมีประสิทธิภาพ
เกียรติชัย พิตรปรีชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DHL eCommerce เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ภาคอีคอมเมิร์ซของไทยยังมีแนวโน้มการเจริญเติบโตที่ดี DHL มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางอนาคตของอุตสาหกรรมนี้ ผ่านการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการขนส่งให้ดียิ่งขึ้นและการขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล ด้วยการผสานเครือข่ายการจัดส่งที่ครอบคลุมทั่วประเทศเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยและโซลูชันด้านโลจิสติกส์ที่ยั่งยืน เราสามารถส่งเสริมศักยภาพให้ธุรกิจไทยทุกขนาดและทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าองค์กรหรือบุคคลทั่วไป ให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในเศรษฐกิจดิจิทัล”
ปัจจุบัน DHL มีบุคลากรกว่า 9,300 คน และบริหารพื้นที่คลังสินค้ากว่า 678,000 ตร.ม. พร้อมเครือข่ายขนส่งที่แข็งแกร่ง DHL Express มีศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาค (regional hub) ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ศูนย์บริการ 15 แห่ง และจุดให้บริการทั้งที่เป็นเจ้าของเองและผ่านพันธมิตร 131 แห่ง มีเครื่องบินขนส่งสินค้าระหว่างประเทศให้บริการ 85 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ มีศูนย์ DHL International Multimodal Hub ที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการค้าของภูมิภาค เป็นศูนย์เชื่อมต่อที่สำคัญให้กับประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล เช่น ประเทศลาว ด้วยทางเลือกการขนส่งที่หลากหลาย DHL eCommerce มีศูนย์กระจายสินค้า 151 แห่ง และจุดให้บริการกว่า 230 แห่ง ทั่วประเทศ ทำให้สามารถให้บริการได้อย่างทั่วถึง พร้อมทั้งบริการจัดส่งถึงมือผู้รับภายในวันถัดไปสูงถึง 97% ของพื้นที่ทั่วประเทศ
วินเซนต์ ยอง กรรมการผู้จัดการ DHL Global Forwarding ประเทศไทย กล่าวว่า “การเปิดตัวศูนย์ DHL International Multimodal Hub ที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อไม่นานมานี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ด้านโลจิสติกส์ของประเทศไทย ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ที่สำคัญของอาเซียนภายในปี 2568 โซลูชันของเรา เช่น เครือข่ายการขนส่งที่หลากหลายแบบบูรณาการ จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของประเทศ”
สตีฟ วอล์กเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DHL Supply Chain กลุ่มธุรกิจประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในซัพพลายเชนและโลจิสติกส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญสำหรับภาคยานยนต์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมการผลิต ประกอบกับการมีตลาดค้าปลีกในประเทศขนาดใหญ่ เรามีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งต่อโอกาสทางธุรกิจ และมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการเติบโตของลูกค้าและความเป็นเลิศด้านซัพพลายเชนในประเทศไทยในอนาคต”
DHL กับภารกิจโลจิสติกส์สีเขียว
DHL ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 โดยนำ EV มาใช้ทุกหน่วยธุรกิจ DHL Express มี EV มากกว่า 50 คัน และสนับสนุนให้ลูกค้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 3 ผ่านการใช้เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน SAF (Sustainable Aviation Fuel) ผ่านบริการ GoGreen Plus พร้อมกันนี้ DHL Supply Chain ยังดำเนินโครงการ Certified GoGreen Specialist ซึ่งได้ฝึกอบรมพนักงานของ DHL Supply Chain ไปแล้วกว่า 80% นอกจากนี้ บริษัทกำลังดำเนินการตามแนวทางการบริหารคลังสินค้าที่ยั่งยืน โดยวางแผนพัฒนาคลังสินค้าที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% แห่งแรกของประเทศไทยในปี 2568 และ DHL eCommerce วางแผนเพิ่ม EV 50% ภายใน 2 ปี
DHL มุ่งมั่นลงทุนและพัฒนานวัตกรรมโลจิสติกส์ที่ยั่งยืนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทยบนเวทีโลก แม้จะมีความได้เปรียบจากโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและกลยุทธ์ที่สอดรับกับเมกะเทรนด์ แต่การรักษาความเป็นผู้นำจำเป็นต้องอาศัยการลงทุนอย่างต่อเนื่องในเทคโนโลยีและนวัตกรรมสีเขียว ควบคู่ไปกับการสร้างความร่วมมือกับภาคธุรกิจไทย เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกอย่างยั่งยืน