HomeBig FeaturedPTG ทุ่มลงทุน 6-7 พันล้าน เร่งเครื่องธุรกิจ บุกหนัก Non-Oil ชู “พันธุ์ไทย” เรือธงหลักดันรายได้ พร้อมกรุยทางสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ

PTG ทุ่มลงทุน 6-7 พันล้าน เร่งเครื่องธุรกิจ บุกหนัก Non-Oil ชู “พันธุ์ไทย” เรือธงหลักดันรายได้ พร้อมกรุยทางสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ

แชร์ :

PTG เดินหน้าขยายธุรกิจ Non-Oil เต็มสูบ หลังสร้างการเติบโตเป็นประวัติการณ์ ด้วยกลยุทธ์ “Max Card สู่ Max World” ที่ผลักดันฐานสมาชิกทะลุ 25 ล้านราย พร้อมทุ่มงบลงทุน 6,000-7,000 ล้านบาทในปี 2568 โฟกัส “กาแฟพันธุ์ไทย” และขยายธุรกิจใหม่อย่าง GIGA EV และ Subway พร้อมตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้ Non-Oil เป็น 50% ภายในปี 2571

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

คุณพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG กล่าวว่า ปี 2567 ที่ผ่านมา PTG สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมี PT Max Card และ PT Max Card Plus กว่า 25 ล้านสมาชิก (คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรไทย) เป็นกุญแจสำคัญที่ผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งในด้านปริมาณ คุณภาพ และกลยุทธ์ 

 

จาก Max Card  ถึง  Max World ขับเคลื่อน PTG เติบโต 10 เท่า

ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา PTG ใช้กลยุทธ์ “Max Card สู่ Max Growth และ Max World” ซึ่งทำให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด นับตั้งแต่ปี 2555 เริ่มต้นด้วยสมาชิก 300,000 คน จวบจนปี 2568 ที่ผ่านมาสมาชิก Max Card มีสมาชิกกว่า 25 ล้านคน และคาดว่าในปีนี้จะเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 2 ล้านคน 

“ปัจจุบันสิทธิประโยชน์จาก Max Card ของเราเป็นเบอร์ 2 ในตลาดรองจาก True Wallet กับความครบครันและการใช้จ่ายที่รองรับความต้องการของทุกกลุ่มเป้าหมาย และยังสามารถนำแต้มไปเป็นส่วนลดที่ Thai QR CODE ได้ทันที”

พร้อมกันนี้ยังได้ขยายขอบเขตไปยังธุรกิจ Non-Oil อื่น ๆ อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านการเชื่อมต่อกับ Max Card ให้ลูกค้าปลดล็อกสิทธิประโยชน์ที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะในด้าน บริการสินเชื่อที่ PTG ได้ร่วมมือกับ Paisan Capital เพื่อให้การสนับสนุนผู้ประกอบการขนส่ง เสริมศักยภาพในการเข้าถึงสินเชื่อด้วยเงื่อนไขที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการ อีกทั้ง PTG เป็นผู้นำในการนำ Subscription Model มาเชื่อมต่อกับสถานีชาร์จ EV Elex by EGAT PT ให้ลูกค้าปลดล็อกสิทธิประโยชน์  พร้อมยกระดับสุขอนามัยของคนในชุมชนผ่านธุรกิจบริหารจัดการขยะ 

ผลจากกลยุทธ์นี้ช่วยให้ PTG เติบโตแบบทวีคูณในทุกด้าน

ธุรกิจน้ำมัน (Oil): โตขึ้น 11 เท่า ในด้านส่วนแบ่งตลาด จาก 2% ในปี 2552 เป็น 22% ในปี 2567 โดยมียอดจำหน่ายน้ำมัน 6,548 ล้านลิตร หรือเติบโต 12.9% (YoY) ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมกว่า 10 เท่า (ขณะที่ตลาดเติบโต 0.4% จากปีก่อน)

ธุรกิจ Non-Oil: ขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีรายได้เติบโต 31.2% YoY ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของ GDP 10 เท่า (GDP เติบโต 2.5% YoY) ขณะที่กำไรขั้นต้นของธุรกิจ Non-Oil เพิ่มขึ้น 35% YoY 

โดย “กาแฟพันธุ์ไทย” เป็นหนึ่งในธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนธุรกิจ Non-Oil ด้วยการเติบโตที่โดดเด่นของกำไรขั้นต้นซึ่งเพิ่มขึ้น 80.2% YoY จากการขยายสาขาเฉลี่ยกว่า 1.3 สาขาต่อวันไปยังสถานีบริการน้ำมันและภายนอกสถานีบริการน้ำมันที่มีศักยภาพ อีกทั้งได้พัฒนาสินค้าและบริการต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า โดยพัฒนาโมเดลร้านให้หลากหลาย  รวมถึงการทำแคมเปญที่สอดรับกับการสนับสนุนวัตถุดิบท้องถิ่นอย่าง “ไทยริกาโน” ที่ผลักดันยอดขายได้เป็นอย่างดี

ขณะที่ Autobacs ซึ่งประกอบธุรกิจศูนย์ซ่อมบำรุงรถยนต์ และศูนย์บริการ มาตรฐานระดับญี่ปุ่น กำไรขั้นต้นเติบโต 70.9% YoY จากการขยายสาขาเป็น 117 สาขาภายในปี 2567  โดยมีรายได้เติบโตด้วยเช่นกันที่ 76% (YoY)  

 

 

“การเติบโตของกาแฟพันธุ์ไทย และ Autobacs เกิดจากพลังของฐานลูกค้าสมาชิกมีการเติบโตสะท้อนจากยอดขายกาแฟพันธ์ไทยกว่า 75% มาจากสมาชิก Max Card และ Max Card Plus โดยสมาชิก Max Card Plus มีการบริโภคกาแฟมากกว่าลูกค้าทั่วไป 7 เท่าต่อเดือน อีกทั้งซื้อกาแฟต่อครั้งมากกว่าลูกค้าทั่วไปถึง 2 เท่า” 

 

ลงทุน 6,000-7,000 ล้านบาท เสริมแกร่งธุรกิจ พร้อมหันโฟกัส Non-Oil เพิ่มสัดส่วน 50% ในปี 2571

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2568 นี้ บริษัทได้ตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 6,000 – 7,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนที่วางไว้ในครึ่งปีแรก 4,000 ล้านบาท สัดส่วน 2 ใน 3 ของเงินลงทุนเป็นการเน้นหนักในกลุ่มธุรกิจ Non-Oil  ให้เติบโตเต็มกำลัง ทั้งนี้ PTG วางเป้าหมายให้ ธุรกิจ Non-Oil มีสัดส่วนกำไร 50% ภายในปี 2571 จากปัจจุบัน PTG มีรายได้จากกลุ่ม Oil ราว 75% และ จาก Non-Oil ประมาณ 25%

โดยจะโฟกัสแบรนด์ “กาแฟพันธุ์ไทย” เป็นแบรนด์เรือธงหลักในการสร้างรายได้และการเติบโตให้กลุ่ม Non-Oil หลังที่ผ่านมากาแฟพันธุ์ไทยมีการเติบโตถึง 12 เท่า ยอดขายเติบโต 83% ขยายสาขาโต 50% และยังมียอดขายเฉลี่ย 250-260  แก้วต่อสาขาต่อวัน โดยปีนี้จะขยายเพิ่ม 600 สาขา จากปัจจุบันที่มีสาขาอยู่ 2,266 สาขา และยังวางเป้าขยายเพิ่มเป็น 5,000 สาขาในปี 2571 

นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ Subway เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเติบโต หลังสาขาซื้อสิทธิ์มาสเตอร์ แฟรนไชส์เข้ามาทำตลาด โดยวางเป้าหมายขยายสาขาใหม่ไว้อย่างน้อย 50 สาขา จากปีที่ผ่านมาที่ขยายไปแล้ว 20 สาขา

“หนึ่ง(หลัก) ไม่เอา สอง(หลัก) ไม่เอา แต่ปีหน้าหน้าเราอยากได้ตัวเลขการเติบโตกาแฟเป็นตัวเลขสามหลัก และจำนวน 5,000 สาขา จะมาเร็วกว่าปี 2571 อย่างแน่นอน” คุณพิทักษ์ รัชกิจประการกล่าวถึงเป้าหมายของการขยายสาขากาแฟพันธุ์ไทยปี 2568

 

 

เตรียมเปิดตัว GIGA EV สถานีชาร์จรถ EV แห่งแรกกลางปี 68

นอกจากนี้ PTG ยังเตรียมใช้งบลงทุนราว 20-40 ล้านบาท เปิดตัว GIGA EV (เฉพาะโครงสร้าง) สถานีบริการแรกของ PTG ที่ไม่มีน้ำมัน ย่านลาดพร้าว -วังหิน เน้นเจาะกลุ่มผู้ใช้ชีวิต ยานยนต์ไฟฟ้า  ซึ่งจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการราว มิถุนายน 2568 นี้ โดยภายในจะประกอบด้วย ร้านกาแฟพันธุ์ไทย , Autobacs เป็นต้น  เบื้องต้นในปีนี้จะนำร่องขยายสาขา 1 แห่งก่อน เพื่อดูผลตอบรับ 

“สถานีชาร์จ EV ปกติเราจะขยายเป็น 100 สาขา แต่ปัจจุบันมีการลดสปีดการขยายมาหน่อย เนื่องจากเราสามารถขยายได้แล้ว 200 สาขาต้นๆ ครอบคลุมการเดินทาง ซึ่งทั้งหมดเป็นฟาสต์ชาร์จ ส่วนแผนในอนาคตจะขยายเพิ่มคงต้องรอดูทิศทาง มองการเติบโตของยานยนต์ที่เป็นไฟฟ้า และความสนใจของนักลงทุนในอีก3-5 ปีข้างหน้า”

ท้ายที่สุด “คุณพิทักษ์” บอกว่าอีกหนึ่งเป้าหมายระยะยาวของ PTG คือการพาลูกๆ (บริษัทลูกในเครือ) เข้าไปโลดแล่นในตลาดหลักทรัพน์แห่งประเทศไทย โดยได้เตรียมพร้อมที่จะนำ “กาแฟพันธุ์ไทย” ภายใต้บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ภายในปี 2570

ก่อนที่จะตั้งเป้า Spin-Off บริษัทลูก 7-8 บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไปในอนาคต เบื้องต้นขณะนี้ บริษัทแอตลาส เอ็นเนอยี (ATLAS) กำลังอยู่ในกระบวนการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง)  ต่อ ก.ล.ต. 1 บริษัทแล้วคาดว่าจะเข้าเทรดในปีนี้ ต่อด้วยช่วงปลายปี 2569 เตรียมยื่นไฟลิ่งบริษัทลูกอีก 2 บริษัทเพื่อเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ  และอีก 1-2 บริษัทในปีถัดไป


แชร์ :

You may also like