ในงานสัมนา MARKETING Day 2014 ภายใต้หัวข้อ “การตลาดแบบไทยๆ รอดตายอย่างงงๆ” หรือ Survival with “Thailand Only” Marketing ดั่งใจถวิล อนันตชัย COO, Managing Director-Intage Thailand และนายกสมาคมวิจัยการตลาดแห่งประเทศไทย ได้สรุปเทรนด์ใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นในระดับโลก และน่าสนใจว่าจะเกิดขึ้นในประเทศไทยในเวลาอันใกล้นี้ มาเป็นหัวข้อต่างๆ 6 หัวข้อ ดังนี้
1. Consumers Search for Instant Alternatives
ผู้บริโภคมีทางเลือกมากมาย ดังนั้นจึงต้องการให้แบรนด์สามารถแก้ปัญหา, ตอบโจทย์ได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ถ้าหากว่าแบรนด์ไม่สามารถตอบสนองได้ทันท่วงที ผู้บริโภคก็พร้อมจะไปหาแบรนด์ใหม่ทันที โดยใช้เวลาแค่เพียงปลายนิ้วคลิก
2. Mindful Living
ผู้บริโภคมองหาแบรนด์ที่ช่วยให้ตัวเองใช้ชีวิตได้ดีขึ้นตามวิถีธรรมชาติ อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่แค่การทำ CSR แต่ผู้บริโภคจะถามเลยว่าตัวเองได้อะไรจากกิจกรรมทางการตลาดหรือโปรดักท์นั่นๆ โดยตรง กรณีศึกษาที่น่าสนใจก็คือ เครื่องดื่มน้ำ “น้ำทิพย์” ที่ขวกบรรจุเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และได้ภาพลักษณ์ที่ผู้บริโภคสัมผัสได้จริง
3. Consumers are Vying for Validation& Status
ผู้บริโภคให้ความสำคัญตัวเองมากขึ้น การแสดงออกหรือกิจกรรมอะไรที่ส่งเสริมสถานะของตัวเองให้ดูดีขึ้น ผู้บริโภคก็พร้อมที่จะทำ โดยสถานะที่ต้องการสื่อนั้นมีทั้งเรื่องของความเป็นคนดี หรือการแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเอง
4. Consumers are Shaping their Time
เนื่องจากมีเวลาจำกัด ผู้บริโภคต้องทำกิจกรรมที่ได้ประโยชน์หลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน จึงกลายเป็นที่มาของกิจกรรมเช่น กินกาแฟในร้านกาแฟ รวมทั้งทำงานไปด้วย หรือวิ่งไปพร้อมๆ กับการฟังเพลง นักการตลาดจึงควรสร้างสรรค์กิจกรรมหรือพื้นที่ที่ผู้บริโภคจะทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน หรือทำให้ประหยัดเวลามากขึ้น
5. Consumers are Expecting Authenticity
หมดยุคที่ผู้บริโภคคาดหวังให้แบรนด์เป็นแบรนด์ที่สุดแสนจะเพอร์เฟค เดี่ยวนี้แบรนด์เองก็มีความผิดพลาดได้ เพียงแต่ต้องออกมายอมรับอย่างจริงใจ รับฟัง และแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุด อย่าดันทุรัง หรือเถียงสู้กับผู้บริโภค เพราะว่าไม่มีทางชนะผู้บริโภคที่อาศัยโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร
6. JOMO(Joy of Missing Out) vs. FOMO(Fear of Missing Out)
ปีที่แล้ววงการมาร์เก็ตติ้งได้รู้จักกับคำว่า FOMO-Fear of Missing Out คือการกลัวที่จะตกกระแสก็เลยออนไลน์ ติดตามข่าวสารทางโซเชี่ยลมีเดียตอลดเวลา แต่ต้นปีมานี้ กลับพบพฤติกรรมตรงกันข้าม นั่นคือ JOMO-Joy of Missing Out มีความสุขกับการที่จะวางหรือตัดขาดจากสื่ออนไลน์รอบตัวบ้าง สิ่งที่เป็นรูปธรรมที่สุดก็อย่างเช่น โฆษณาชุด Power of Love ของดีแทค ที่ให้คุณพ่อวางโทรศัพท์มือถือแล้วแก้ปัญหาด้วยการอุ้มลูกขึ้นมาเท่านั้นเอง นอกจากนี้ยังมีเคสการตลาดที่ชักจูงให้คนวางโทรศัพท์มือถือแล้วใช้เวลากับเพื่อนหรือครอบครัวที่อยู่ตรงหน้าให้มากขึ้นอีกมากมาย ทั้งในและต่างประเทศ
ดั่งใจถวิล อธิบายเกี่ยวกับเทรนด์นี้ว่า “ความยุ่งเหยิงของโซเชี่ยลมีเดีย ทำให้คนอยากหลีกหนี หันมาเน้นที่อารมณ์ จิตใจ บางครั้ง FOMO ก็เป็นความสัมพันธ์ที่จอมปลอม คนก็ล้า เหนื่อย บางครั้งคนเราทำงานหนักๆ มากๆ ก็อยากจะพักผ่อนสมอง เป็นที่มาของคอร์สปฏิบัติธรรม ชีวิตไม่ต้องเร็วขนาดนั้นก็ได้ เน้น Spiritual มากขึ้น เป็นที่มาของมาร์เก็ตติ้งใหม่ๆ เช่น Pure Ocean หรือ White Ocean”
“เวลาที่คน Extreme อะไรสุดๆ สักพักก็จะเกิดเทรนด์ที่อยู่ตรงข้ามขึ้นมา แล้วเทรนด์ที่อยู่ตรงข้ามกับเทรนด์หลัก แบรนด์ไหนจับได้ก่อน ทำก่อน ก็จะได้ใจผู้บริโภคไปก่อน แล้วถ้าช้า อีก 2-3 ปีก็เปลี่ยนอีกแล้ว”