HomeBrand Move !!เมืองไทยประกันชีวิตฯ ท๊อปฟอร์มปี 57 กวาดเบี้ย 7.5 หมื่นล. ยกระดับกลยุทธ์ “ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง”

เมืองไทยประกันชีวิตฯ ท๊อปฟอร์มปี 57 กวาดเบี้ย 7.5 หมื่นล. ยกระดับกลยุทธ์ “ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง”

แชร์ :

muangthai insurance

เมืองไทยประกันชีวิตประกาศสุดยอดผลงานปี 2557 กวาดเบี้ย 75,234 ล้านบาท ขยายตัว 25พร้อมยกระดับบริการทุกมิติ-ลั่นธุรกิจเติบโตไม่น้อยกว่าอุตสาหกรรม

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2557 ที่เพิ่งผ่านมานั้น ภาวะเศรษฐกิจเต็มไปด้วยความผันผวนและมีปัจจัยแวดล้อมเข้ามากระทบค่อนข้างมาก แต่ธุรกิจประกันชีวิตก็ยังสามารถเติบโตได้เป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากผู้บริโภคเข้าใจและเห็นประโยชน์ของประกันชีวิตมากขึ้น ทั้งในแง่การคุ้มครองชีวิต ออมเงิน และควบคู่การลงทุน ผนวกกับความตื่นตัวด้านการดูแลสุขภาพ รวมถึงมีปัจจัยหนุนจากการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีจากค่าเบี้ยประกันที่ชำระมา

ส่วนเมืองไทยประกันชีวิต ในปี 2557 ยังคงสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมีเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่ 35,275 ล้านบาท เติบโต 28%เบี้ยประกันต่ออายุ 39,958 ล้านบาท เติบโต 22%และเบี้ยรับรวม 75,234 ล้านบาท เติบโต 25%

นายสาระ กล่าวว่า ในปี 2558 บริษัทฯ ยังคงนโยบายการเติบโตทางธุรกิจโดย “ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” และการเข้าถึงลูกค้าผ่านหลากหลายช่องทาง เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกกลุ่ม และทุกระดับ สามารถค้นหาและนำเสนอแบบประกันได้ตรงกับความต้องการของลูกค้า และสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน โดยช่องทางตัวแทนจะมุ่งพัฒนาและเพิ่มศักยภาพของฝ่ายขายสู่การเป็นที่ปรึกษาด้านการประกันชีวิตให้มีคุณภาพและบริการลูกค้าได้อย่างครบวงจร รวมถึงสนับสนุนให้เข้าร่วมการแข่งขันคุณวุฒิต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง

ส่วนแบงก์แอสชัวรันซ์ที่กำลังเติบโตมากในเวลานี้ บริษัทฯ จะเน้นกระชับความร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นสถาบันการเงินต่างๆ และประสานการทำงานอย่างใกล้ชิด ขณะที่ช่องทางความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจอื่นๆ (Affinity)รวมถึงการตลาดทางตรงอย่าง เทเลมาร์เก็ตติ้ง และการโฆษณาผ่านโทรทัศน์ (DRTV)ที่จะเติบโตทั้งในแนวลึกด้วยการศึกษาวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าเพื่อมาพัฒนาเป็นแบบประกันที่ตอบโจทย์ได้ตรงใจของลูกค้าแต่ละกลุ่ม พร้อมกับทำตลาดในแนวกว้างด้วยการหาพันธมิตรรายใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง

ด้านบริการเพื่อลูกค้า นายสาระกล่าวว่า บริษัทฯ ได้ยกระดับการบริการทุกมิติ และทุกช่องทางการติดต่อ โดยศูนย์บริการลูกค้าที่ปัจจุบันมีกว่า 153 แห่ง และปีนี้มีแผนจะเปิดเพิ่มอีกกว่า 10 แห่ง เพื่อให้สามารถเข้าถึงไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นแหล่งชุมชน ห้างสรรพสินค้า และช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ต่างๆ ขณะเดียวกันจะเพิ่มขีดความสามารถบริการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้ายิ่งขึ้น เช่น ชำระเบี้ยประกัน รับเงินสินไหมทดแทน รวมถึงบริการกู้ยืมตามกรมธรรม์ที่สามารถรอรับได้ ณ ศูนย์บริการลูกค้า (ตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด)

สำหรับทิศทางตลาดที่ขยับเข้าสู่โลกดิจิตอลซึ่งบริษัทฯ ได้เริ่มปรับตัวและประกาศยุทธศาสตร์การเป็น “digital insurer” มาก่อนหน้านี้แล้วนั้น นายสาระกล่าวว่า ปีนี้จะเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น แยกเป็น 3 มิติ คือ มิติของลูกค้า มิติของพันธมิตรทางธุรกิจและคู่ค้าในช่องทางต่างๆ และมิติของพนักงาน โดยเฉพาะมิติของลูกค้าที่จะเริ่มเห็นความชัดเจนก่อน เช่น การเปิดให้สมาชิก “เมืองไทยSmile Club” สามารถดูข้อมูลกรมธรรม์ ค้นหาโรงพยาบาลคู่สัญญา การแลกคะแนนสะสม Smile Point ผ่านแอปพลิเคชั่นได้ง่ายๆ ตลอดจนเข้าร่วมกิจกรรมความสุขต่างๆ ได้สะดวกมากขึ้นกว่าเดิม เป็นต้น

เช่นเดียวกับกลยุทธ์การสื่อสารกับลูกค้าและผู้บริโภคที่บริษัทฯ จะตอกย้ำภาพลักษณ์ของ “แบรนด์แห่งความสุขและรอยยิ้ม”ผ่านโฆษณา ประชาสัมพันธ์ กิจกรรมการตลาด และกิจกรรมเพื่อสังคม รวมถึงการสื่อสารผ่านช่องทางสังคมออนไลน์ ทั้ง LINE ApplicationFacebook Instagramซึ่งสอดคล้องไปกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในยุคปัจจุบัน

นายสาระ กล่าวว่า บริษัทฯ ได้คำนึงถึงการจัดการภายในและโครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจ เพื่อให้พร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา เช่น การจัดทำและทบทวนแผนการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management) การปรับปรุงอาคารสำนักงานและสิ่งอำนวยความสะดวกในที่ทำงาน เพื่อให้รับกับเทรนด์ของคนรุ่นใหม่ ซึ่งกำลังเข้าสู่วัยทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นต้น นับเป็นสิ่งที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญเช่นกัน

ขณะที่การเปิดสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community-AEC) นั้น นายสาระกล่าวว่า นับเป็นโอกาสสำหรับเมืองไทยประกันชีวิต ที่จะขยายธุรกิจออกไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านในอนาคตภายใต้กฎหมายของประเทศนั้นๆ โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) เนื่องจากปัจจุบันยังมีสัดส่วนประชากรที่ทำประกันชีวิตอยู่ค่อนข้างน้อย จึงมีศักยภาพสูงที่จะเติบโตในอนาคตได้อีกมาก รวมถึงประเทศไทยมีความเหมาะสมในแง่ภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ประกอบกับบริษัทฯ มีประสบการณ์ทำตลาดด้วยสินค้าในกลุ่มความคุ้มครองชีวิต ซึ่งเป็นพื้นฐานของการประกันชีวิตอยู่แล้ว

“เรามองว่าเทรนด์ต่างๆ ที่กำลังจะมา ทั้งเทรนด์เรื่องดิจิตอล เรื่องเออีซี รวมไปถึงเทรนด์เรื่องสุขภาพและสังคมผู้สูงวัย (Aging Society) ล้วนเป็นโอกาสสำหรับเมืองไทยประกันชีวิตทั้งสิ้น ซึ่งปีนี้จะเห็นเราเข้ามาตอบรับกับเทรนด์เหล่านี้อย่างชัดเจนแน่นอน ขณะเดียวกันเราก็จะทำให้ล้อเป็นภาพเดียวกันไปกับกลยุทธ์หลักที่ทำอยู่เดิม ทั้งเรื่องการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง การทำตลาดผ่านหลากหลายช่องทาง และการบริหารด้วยความเป็นมืออาชีพ เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง แข็งแกร่ง และยั่งยืน โดยในปี 2558 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถสร้างเบี้ยประกันรับรวมเติบโตขึ้นไม่น้อยกว่าอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรม” นายสาระ กล่าว./

DSC_0417


แชร์ :

You may also like