Central One World of Luxury คือ อาณาจักห้างสรรรพสินค้าสุดหรู ของกลุ่มเซ็นทรัลฯ (Central Group)ที่ได้ทยอยซื้อกิจการที่ผ่านมา โดยเจาะกลุ่มไฮเอนด์ ตั้งเป้าหมายให้เป็น Historical & Luxury Department Store ของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ต้องมาเยือน จำนวน 7 แห่ง แต่ละที่จะมีเอกลักษณ์โดดเด่น หรือเป็นแลนมาร์คของเมืองนั้นๆ ซึ่งเซ็นทรัลฯได้ลงทุนในยุโรปตั้งแต่อดีตจนถึงปี 2558 รวมทั้งสิ้น 40,800 ล้านบาท ในการเข้าซื้อกิจการและบริหาร และมีแผนจะใช้งบลงทุนเพิ่ม 10,400 ล้านบาท สำหรับการรีโนเวทห้างสรรพสินค้าทุกแห่งในยุโรป ระหว่างปี 2559 – 2563
7 แห่ง แบ่งเป็นในยุโรป 5 แห่ง และ 2 แห่งในประเทศไทย ได้แก่
ลา รีนาเชนเต (La Rinascente) ประเทศอิตาลี
หลังการเข้าซื้อกิจการห้าง ลา รีนาเชนเต ของกลุ่มเซ็นทรัลในปี 2554 ปัจจุบัน ลา รีนาเชนเต ได้ฉลองครบรอบ 150 ปี เมื่อปี 2558 ที่ผ่านมา ทื้งนี้ปี 2015 ห้างลา รีนาเชนเต ได้รับการขนานนามให้เป็น 1 ใน 13 ห้างสรรพสินค้าของโลกที่ทุกคนควรต้องไปเยือน โดย UK Business Insider เว็บไซต์ที่ทรงอิทธิพลด้านข่าวสารระดับโลกจากอังกฤษ ตั้งตระหง่าน ณ ใจกลางเมืองมิลาน นครเอกแห่งแฟชั่นของโลก
ปัจจุบันลา รีนาเชนเต มีทั้งสิ้น 11 สาขาในอิตาลี ตามเมืองต่างๆ ดังนี้ มิลาน (Milan), โรม (Rome) 2 สาขา, ฟลอเรนซ์ (Florence), คาตาเนีย (Catania),กาลยารี(Cagliari), พาเลอร์โม (Palermo), เจนัว(Genoa), แพดัว (Padua),มอนซ่า (Monza), ตูริน (Turin)
ห้างสรรพสินค้า อิลลุ่ม (Illum) โคเปนเฮเกน, ประเทศเดนมาร์ก
ตั้งอยู่กลางกรุง Copenhagen เมืองหลวงของเดนมาร์ก บนถนน สตรอยก์ (Stroget) ซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่ยาวที่สุดของยุโรป ห้างอิลลุม มีอายุ125 ปี มีพื้นที่ 20,000 ตรม. ซึ่งยังคงรักษามนต์เสน่ห์ของสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ภายนอก ซึ่งกลมกลืนกับตึกประวัติศาสตร์ในบริเวณโดยรอบ ภายในตกแต่งอย่างทันสมัยงดงาม เพื่อความประทับใจของลูกค้า โดยมีคนมาเยือนประมาณ 6.5 ล้านคนต่อปี
ห้างอิลลุม ได้คัดสรรสินค้าจากแบรนด์หรูระดับโลก ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักที่สุด เช่น Salvatore Ferragamo, Celine, Balenciaga, Valentino และ Saint Laurent รวมทั้งยังถูกเสนอชื่อให้เป็น ‘Retail Destination of the year’ ในปี 2008 ในงาน World Retail congress ที่ประเทศบาเซโลน่า และติดอันดับห้างสรรพสินค้าที่งดงามและน่าหลงใหลมากที่สุดในโลก (World’s Most Spectacular Department Store) จัดอันดับโดย Travel+Leisure 2016 นิตยสารท่องเที่ยวชื่อดังจากสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
ห้างสรรพสินค้าคาเดเว (KaDeWe) ประเทศเยอรมัน
ห้างสรรพสินค้าคาเดเว (KaDeWe) มาจากคำว่า “Kaufhaus des Westen” หมายถึงห้างสรรพสินค้าแห่งตะวันตก เป็นห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป อายุ 109 ปี ตั้งอยู่บนถนน โทเอนซีนสตราสเซอ(Tauentzienstrasse) ซึ่งเป็นถนนหลักสำหรับนักช้อป ใจกลางเบอร์ลินตะวันตก มีลูกค้ามาเยือนมากกว่า 10 ล้านคนต่อปี
ห้างคาเดเว มี Food Hall สุดหรูขนาดเทียบเท่ากับสนามฟุตบอลถึง 2 สนาม นอกจากนี้ยังได้รับการจัดอันดับจาก Trip Advisor ให้ห้างคาเดเวได้ 4.5 ดาว ซึ่งมากกว่า ห้างแฮรอดส์ (Harrods) ในลอนดอน และห้างลาฟาแยตในปารีส (Lafayette) ที่ได้ 4 ดาว และได้รับการขนานนามให้เป็น 1 ใน 13 ห้างสรรพสินค้าของโลกที่ทุกคนควรต้องไปเยือน โดย UK Business Insider เว็บไซต์ที่ทรงอิทธิพลด้านข่าวสารระดับโลกจากอังกฤษ ในปี 2015 เช่นเดียวกับห้างลา รีนาเชนเต รวมทั้งได้รับการจัดอันดับให้เป็นห้างสรรพสินค้าที่งดงามและน่าหลงใหลมากที่สุดในโลก (World’s Most Spectacular Department Store) จาก Travel+Leisure 2016 นิตยสารท่องเที่ยวชื่อดังจากสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
ห้างสรรพสินค้าอัลสแตร์เฮ้าส์ (Alsterhaus) ประเทศเยอรมัน
ห้างอัลสแตร์เฮ้าส์’ เป็นห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียงที่สุดในฮัมบูร์ก อายุ 104 ปี ตั้งอยู่บนนถนจังเฟิร์นสตีค (Jungfernstieg) ซึ่งเป็นถนนหลักที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองฮัมบูร์กเช่นกัน ด้านหน้าของห้างหันเข้าหา Binnen alster (บินเนเอ้าสแต) ซึ่งเป็นทะเลสาบที่สำคัญของเมือง จึงเป็นที่มาของชื่อ “อัลสแตร์เฮ้าส์” (Alster แปลว่า ทะเลสาป, haus แปลว่า บ้าน) ห้างมีพื้นที่ขนาด 24,000 ตรม มีลูกค้ามาเยือนประมาณ 5 ล้านคนต่อปี หรือประมาณ 30,000-40,000 คนต่อวัน
สำหรับสินค้าที่ขึ้นชื่อและทำชื่อเสียงให้อัลสแตร์เฮ้าส์มายาวนาน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในฐานะที่เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าลักชัวรี่ คือ “เปลอเครอส” (pleureuse) ขนนกกระจอกเทศสำหรับประดับบนหมวกของสุภาพสตรี พัด และ ร่มที่ทำจากผ้าไหม
ห้างสรรพสินค้าโอเบอร์โพลลิงเกอร์ (Oberpollinger) เยอรมัน
โอเบอร์โพลลิงเกอร์ ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองมิวนิค บนถนนนอยเฮ้าเซอร์ (Neuhauser Straße) ซึ่งเป็นถนนช้อปปิ้งที่คนเลือกที่จะมาบ่อยที่สุดเป็นอันดับสองในเยอรมัน ห้างแห่งนี้นับเป็นห้างสรรพสินค้าที่หรูหราแห่งแรกของเมืองมิวนิค มีอายุ 111 ปี มีขนาดพื้นที่ 40,000 ตรม. และมีคนมาเยือนประมาณ 30,000 คนต่อวัน
เซ็นทรัลชิดลม
สาขาชิดลม ซึ่งใช้คอนเซ็ปต์ “วัน สต๊อป ช๊อปปิ้ง” (one stop shopping) มาที่ห้างเซ็นทรัลเพียงแห่งเดียวได้สินค้าครบทุกอย่างโดยไม่ต้องแวะเวียนไปซื้อยังแหล่งอื่น ต่อมาห้างเซ็นทรัลชิดลมกลายเป็นหัวใจการบริหารงานของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ซึ่งย้ายฐานมาจากสาขาสีลม และทั้งยังเป็นสาขาที่ทำรายได้สูงสุดมาจนถึงปัจจุบัน
เซ็นทรัลเอ็มบาสซี
และล่าสุดกลุ่มเซ็นทรัล หรือ Central Group นำโดยซีอีโอใหญ่ ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เผยผลประกอบการ ปี 2558 และ ทิศทางการตลาดและการลงทุนในปี 2559 โดยแบ่งเป็น 2 ธุรกิจ ได้ ธุรกิจห้างสรรพสินค้า และ ธุรกิจโรงแรม ทั้งประเทศและต่างประเทศ
ธุรกิจภายนอกประเทศ สัดส่วนรายได้ธุรกิจภายนอกประเทศเติบโตไปด้วยดี ยอดขายรวมห้างสรรพสินค้าในยุโรป 30,000 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของกลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้าทั้งหมด พร้อมกับตั้งเป้าปี 2559 ยอดขาย 51,000 ล้านบาท คิดเป็น 40% ของกลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้าทั้งหมด และคาดว่ารายได้จะทะลุ 100,000 ล้านบาท ภายในปี 2563 จากศักยภาพของห้างยุโรปในเครือ ทั้งนี้สัดส่วนรายได้ของธุรกิจต่างประเทศ (International Business) จาก 5% ในปี 2011 เติบโตไปเป็น 18% ของรายได้รวมของกลุ่มเซ็นทรัลในปี 2558 และสำหรับปี 2559 ตั้งเป้าสัดส่วนรายได้เป็น 24%
สำหรับธุรกิจภายในประเทศ ผลประกอบการปี 2558 ยอดขายจบที่ 283,450 ล้านบาท เติบโตจากปี 2557 คิดเป็น 13.5% สำหรับแผนปี 2559 เริ่มจากปลายเดือนกรกฏาคม เตรียมเปิดศูนย์การค้าเซ้นทรัลพลาซ่านครศรีธรรมราช จังหวัดที่มีประชากรสูงสุดและการจับจ่ายสูงสุดของภาคใต้ เนื้อที่โครงการกว่า 125,000 ตร.ม. ด้วยงบการลงทุน 3,500 ล้านบาท ต่อมาเปิดศูนย์การค้าเซ้นทรัลพลาซ่า นครราชสีมา ภายในปี 2559 และศูนย์การค้าเซ็นทรัล ภูเก็ต เฟส 2 ที่จะเปิดให้บริการปลายปี 2560 เป็น Worldclass Retail ภายใตคอนเซ็ปต์ The Masterpiece of Phuket : A Cutting Edge Design สำหรับห้างสรรพสินค้าในเครืออย่างโรบินสัน มีการเปิดในศูนย์การค้าเซ้นทรัลพลาซ่า นครราชสีมา ซึ่งเป็น สาขาที่ 2 ในจังหวัด และยังเตรียมเปิดโรบินสัน จังหวัดลพบุรี อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการ Escent อีก 3 แห่ง , การรีโนเวทศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศไทย เปิดโรงแรมและลงทุนร้านค้า(แบรนด์)ใหม่ๆอีกมากมายภายในปี 2559 สำหรับภายในประเทศ ปี 2559 ตั้งเป้าหมายยอดขายราว 337,040 หรือเติบโต 18.9% จากปี 2558 ด้วยงบลงทุนทั้งปี 2559 จำนวน 39,000 ล้านบาทสำหรับการลงทุนทั้งกลุ่มเซ็นทรัลภายในประเทศ
และสำหรับกลุ่มธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ททั้งในประเทศและต่างประเทศ ปัจจุบันมีทั้งหมด 70 แห่ง ใน 11 ประเทศ คิดเป็น 14,583 ห้องพัก เด่นๆมีการลงทุนโครงการโรงแรม 4 ดาว เพิ่มอีก 2 แห่งในประเทศมัลดีฟส์ จากเดิมมีอยู่แล้ว 2 แห่ง (ลงทุน 3,517 ล้านบาท) และร่วมเปิดโรงแรม 4 ดาว อีก 1 แห่งในเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ลง 2,500 ล้านบาท) ส่วนในประเทศเตรียมเปิดตัวศูนย์การจัดงานและประชุม คุ้มคำ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ จ.เชียงใหม่ (Khum Kham Convention Centre) และเปิดตัวโรงแรมใหม่อีกหลายโครงการ เช่น เซ็นทรา มาริส รีสอร์ท จอมเทียน , เซ็นทารา อเวนิว โฮเท็ล พัทยา , โคซี่ และ ปาร์ค ไฮเอท กรุงเทพฯ เป็นต้น
—————-
9 กลุ่มบริษัทในเครือ Central Group
1.Central Department Store Group (CDG) กลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้า
2.Central Food Retail Group (CFG) กลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภค บริโภค
3.Central Hardlines Group (CHG) กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง สินค้าตกแต่งบ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้า
4.COL Public Company Limited (COL) กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์เครื่องเขียน หนังสือ และ ออนไลน์
5.Central Pattana (CPN) กลุ่มธุรกิจศูนย์การค้า และ อสังหาริมทรัพย์
6.Central Marketing Group (CMG) กลุ่มธุรกิจบริหารและจัดการสินค้านำเข้า
7.Centara Hotels and Resorts (CHR) กลุ่มธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท ในเครือเซ็นทารา
8.Central Restaurants Group (CRG) กลุ่มธุรกิจร้านอาหาร
9.Central Group Vietnam กลุ่มธุรกิจในประเทศเวียดนาม
[xyz-ihs snippet=”LINE”]