South by Southwest® (SXSW) ถือเป็นหนึ่งในงานเฟสติวัลด้านเทคโนโลยีสำหรับโลกการสื่อสารและการตลาดระดับโลก ที่มีอิทธิพลในด้านความเป็นผู้นำทางความคิดไม่น้อยไปกว่างานที่จัดกันทุกๆปีอย่าง Consumer Elctronics Show (CES) ในเมืองลาสเวกัส หรือ Mobile World Congress (MWC) ในเมืองบาร์เซโลน่า
สำหรับงาน SXSW นั้นเกิดขึ้นทุกปีในออสติน โดยในปีนี้ได้จัดขึ้นในวันที่ 11-20 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา โดยในงานแบ่งเป็น 3 ตีมหลัก ซึ่งได้แก่ 1) อินเทอร์แอคทีฟ (Interactive) มุ่งเน้นไปในด้านเทคโนโลยีล่าสุดที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกการสื่อสารและการตลาด 2) เทศกาลดนตรี (Music) ที่ใหญ่ที่สุดในโลกโฟกัสไปที่การเปิดโอกาสและพื้นที่ให้กับศิลปินอิสระ และ 3) หนังอินดี้ (Film) โฟกัสที่การเปิดตัวหนังอิสระหน้าใหม่ที่มีเนื้อหาเป็นประเด็นในยุคปัจจุบัน โดยทั้ง 3 ตีมนี้ ถูกนำมาถ่ายทอดในเฟสติวัลครั้งนี้ผ่านทั้ง การบรรยายสร้างแรงบันดาลใจจาก Keynote Speakers การสัมภาษณ์ผู้นำทางความคิด และถกประเด็นที่กำลังมีนัยยะสำคัญในยุคดิจิตอล เทรดโชว์แชร์ไอเดียใหม่ๆจาก Startups ทั่วโลก การแสดงและโชว์หลากหลายเวทีและสกรีน ถนนแห่งการปาร์ตี้และเน็ตเวิร์กกิ้ง รวมไปถึงการสร้างจุดสัมผัสของแบรนด์ระดับโลกที่มาสร้างสีสันให้กับผู้ร่วมงานอย่างลงตัว
สรุปประเด็นที่น่าสนใจจากงาน SXSW 2016 (เซ้าท์บายเซ้าท์เวสต์ 2559) ที่ได้ไปสัมผัสมาในครั้งนี้ มีดังต่อไปนี้
อัพเดทเทคเทรนด์ล่าสุดจากเวทีระดับโลก
–VR Out There & Everywhere คงต้องบอกว่ากระแสที่มาแรงแซงทางโค้งในปีนี้คงหนีไม่พ้น Virtual Reality ซึ่งถึงแม้จะไม่ได้เป็นเทคโนโลยีล้ำสุดในปัจจุบันแต่ถือเป็นสื่อใหม่ในการสร้างสีสันให้กับโลกการสื่อสารได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะมองไปทางไหนในงานเป็นได้ต้องเห็น Samsung Gear VR หรือ Oculus Rift ตัวอย่างที่น่าสนใจในงาน เช่น “The New Revolution Virtual Reality Coaster” จากสวนสนุกชื่อดังอย่าง Six Flags และ Sumsung Gear VR ที่ให้ผู้บริโภคมาสัมผัสประสบการณ์โรลเลอร์โคสเตอร์แบบดั้งเดิมผ่านจอ Virtual Reality ที่เปิดมิติใหม่ของคอนเท้นต์ในโลกจินตนาการได้อย่างน่าสนใจ รวมไปถึง “McDonald’s V-Artist” ที่ให้ผู้บริโภคเข้าไปมีประสบการณ์เสมือนอยู่ในกล่อง Happy Meal และสร้างสรรค์งานศิลปะในรูปแบบของตัวเอง
-Robot + Heart กระแสเรื่องของระบบอัตโนมัติ (Automation) ในยุค Internet of Things ถือเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองสำหรับโลกอนาคต ต่อเนื่องมาจากกระแสตัวช่วยดิจิตอล (Digital Assist) อย่าง Apple Siri และ Amazon Echo ที่คอยให้ข้อมูลต่างๆกับเราตามคำสั่ง มาถึงปัจจุบัน หุ่นยนต์ถูกพัฒนาให้มีความเป็นคนและเหมือนคนมากยิ่งขึ้นในแง่ความคิดอ่าน และจิตใจ ผ่านเทคโนโลยีการอ่านสีหน้ามนุษย์ การแปลความรู้สึกของมนุษย์จากเสียง เป็นต้น เพื่อให้หุ่นยนต์สามารถตอบสนองได้อย่างเป็นคนได้อย่างแนบเนียน ตัวอย่างที่น่าสนใจในงาน เช่น “Marvin” ที่ให้ผู้บริโภคสามารถมาเล่นเป่ายิ้งฉุบพร้อมปล่อยมุขแบบมีอารมภ์ขัน หรือ “Pepper” ที่เป็นหุ่นยนต์สามารถอ่านอารมภ์มนุษย์ได้ จาก IBM ถือเป็นนวัตกรรมล่าสุดที่ต้องจับตามองในตระกูล Artificial Intelligence ว่าจะมามีบทบาทมาแทนหลายสายงานของมนุษย์ในอนาคตหรือไม่
–The Internet of Every Possible Things ในยุคนี้คงบอกได้ว่าแทบจะไม่มีอุปกรณ์ Electronics ใดๆที่ไม่มีการเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้ได้อย่างตอบโจทย์และตรงใจผู้ใช้มากขึ้น หนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับการพูดถึงอย่างมาก คือ “Google Self-Driving Car Project” ที่เปิดโลกการอยู่บนรถแบบไร้คนขับ ให้ผู้บริโภคสามารถใช้เวลากับสิ่งที่สนใจอื่นๆได้อย่างเต็มๆ ผ่านเทคโนโลยีการจับตาความเคลื่อนไหว พิกัด และความเร็ว ของรถยนต์ จักรยาน หรือ แม้แต่คนเดินถนนและสิ่งแวดล้อมโดยรอบ พร้อมตัดสินใจการขับขี่ได้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ประเด็นของเทคโนโลยีกลุ่ม Wearables ที่ก้าวผ่านข้อมือเข้าไปอยู่ในเนื้อผ้าที่สวมใส่ก็เป็นอีกมิติที่ถูกจับตามองในโลกของแฟชั่น และ การที่อุปกรณ์ Digital Health ที่เอื้ออำนวยการใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเองของผู้สูงอายุก็ถือเป็นการสร้างสรรค์เทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นที่น่าสนใจ
เจาะกระแสสังคมดิจิตอลเพื่อการพัฒนาโลกแห่งอนาคต
– Tech for The Better World สปีชกล่าวเปิดงาน SXSW จากประธานาธิบดี Barack Obama เน้นให้เน็ทติเซ่น ทั้ง ผู้นำทางความคิดสร้างสรรค์และผู้สร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ๆ มีบทบาทในการพัฒนาสังคมและสร้างความเปลี่ยนแปลงทางบวกกับสังคมและรัฐบาลในภาพรวมด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น สร้างเทคโนโลยีให้คนในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงอินเตอร์เนทได้ เป็นต้น นอกจากนี้ยังเน้นเรื่องการเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัว ตราบใดที่ไม่เบียดเบียน หรือทำร้ายผู้อื่น เช่น การก่อการร้าย การทำอาชญากรรมต่างๆ เป็นต้น ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ของงาน SXSW ที่มีการพูดถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสังคมเป็นตีมสำคัญ
– Business of Gender Equality ประเด็นเรื่องของความเป็นผู้หญิงและสิทธิที่เท่าเทียมซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ในสังคมภาพรวม ก็ถูกพูดถึงเช่นกันในโลกของเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องของกลุ่มคนทำงานด้านเทคโนโลยีซึ่งล้วนเป็นผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ ประกอบกับความไม่เท่าเทียมกันสำหรับผู้หญิงทั้งด้านโอกาส ผลตอบแทน และภาพลักษณ์ จากการเปิดเผยผลวิจัยจากหัวข้อ “Elephant in The Valley” นอกจากนี้ในสปีชการเปิดเทศกาลดนตรี สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง Michelle Obama ก็ออกมา พูดถึงโครงการของเธอ “Let Girls Learn” ในการให้เด็กผู้หญิงในพื้นที่ที่มีวิกฤติและความขัดแย้งได้มีโอกาสเรียนหนังสือ อีกด้วย
– The War on Cyberbullying ในยุคที่เปิดกว้างด้านการแสดงความคิดเห็นเสมือนว่าเราจะพูดอะไรในโลกออนไลน์ก็ได้ ด้วยความไม่มีตัวตนบนโลกออนไลน์ จนทำให้เกิดประเด็นในเรื่องของ “Online Hate” ที่มักจะเป็นพฤติกรรมการแช่งด่าผู้อื่นในโลกออนไลน์โดยมีจุดประสงค์เพื่อบั่นทอนความมั่นใจของผู้อื่นเพื่อความบันเทิงใจของตัวเอง โดยเรามักเรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่า “Internet Troll” หรือ “Cyberbully” ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาสังคมมากมายโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นในโลกของวีดีโอเกมส์ ซึ่งอันตรายถึงทำให้วัยรุ่นฆ่าตัวตายมาหลายราย และบริษัทเทคโนโลยีและโซเชี่ยลมีเดียรวมถึงหน่วยงานทางกฎหมายจะมีบทบาทอย่างไรเพื่อยกระดับให้โลกออนไลน์น่าอยู่ขึ้น เช่น ตรวจสอบคอนเท้นต์ล่อเป้า หรือ ปิด Notifications สำหรับคนที่ถูกกระทำในโลกโซเชียล หรือยุติบทสนทนาไม่ให้มีการสารต่อ เป็นต้น
ปฏิวัติมุมมองการตลาดและแบรนดิ้งให้ก้าวทันเทคโนโลยีและผู้บริโภค
– Marketing to Moments that Matter สเน่ห์ของการสื่อสารสู่ผู้บริโภคยุคปัจจุบันคือการเข้าถึงทุกจริตของผู้บริโภค ถูกสาร ถูกเวลา ถูกพิกัด และถูกความต้องการส่วนบุคคล ซึ่งเป็นมิติที่เกิดขึ้นได้จากการใช้ข้อมูลของผู้บริโภคอย่างชาญฉลาด (Smart Data) ประกอบไปกับการใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเจาะอินไซด์เชิงลึก (Analytics) เป็นการยุติโลกของการสื่อสารโฆษณาแบบกว้างแต่ไม่มีความหมายสู่การสื่อสารแบบเฉพาะตัวและสร้างความหมายที่ดีกับผู้บริโภค
– From UX UI to CX ในหลายปีที่ผ่านมา เรื่องของ User Experience (UX) และ User Interface (UI) ถูกพัฒนากันมาอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง ทำให้การเข้าถึงจุดสัมผัสเทคโนโลยีเป็นไปด้วยการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง (Intuitive) สำหรับในงาน SXSW 2016 นี้ ประเด็นที่หันมานำ UX และ UI ก็ คือเรื่องของ Customer Experience (CX) ที่ก้าวมาตอบโจทย์เรื่องของการให้ประสบการณ์ผ่านเทคโนโลยี เพื่อการเข้าถึงทุกจุดสัมผัสของแบรนด์ (Customer Journey) หลายๆแบรนด์หันมาทุ่มทุนสร้างกับการบริหารข้อมูลผู้บริโภคให้เชื่อมต่อตั้งแต่เมื่อผู้บริโภคเสิร์ช ซื้อ จนถึงใช้จริง รวมไปถึงประสบการณ์หลังการขาย เพื่อให้สามารถให้ยกระดับทุกประสบการณ์ของผู้บริโภคได้แบบเต็มรูปแบบด้วยความรู้ทันและรู้จริง
– The Secret World of Dark Social เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งใน Buzz Word ของงานเลยทีเดียวกับคำว่า “Dark Social” ซึ่งหมายถึงบทสนทนาออนไลน์ผ่าน Social Messaging ที่ไม่สามารถจับข้อมูลมาประมวลได้ในแง่ Analytics หรือจาก Search Engine ในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคต่างหันมาแชร์ข้อมูลผ่านข้อความส่วนตัวซึ่งทำให้เกิดการเล่น Social Network แบบกลุ่มเล็กๆ อย่างเช่น Snapchat, Line, Facebook Messenger, Kik, Yik Yak เป็นต้น เป็นที่น่าสนใจในแง่ของเทรนด์การตลาดว่าจะปฏิวัติตัวเองเพื่อเจาะมาในโลกส่วนตัวของผู้บริโภคในโลก Messenger ได้อย่างมีคุณค่าได้อย่างไรทั้งในด้านการสร้าง Connection, Commerce และ Community ในโลกที่คอนเท้นต์เดินทางได้อย่างส่วนตัวและอิสระ
ในภาพรวมแล้ว สีสันของงานคือเทคโนโลยีและนวัตกรรมหน้าใหม่จากทุกมุมโลก ที่กำลังมาสร้างความเปลี่ยนแปลงกับการใช้ชีวิตของผู้บริโภคในอนาคต ในมุมมองของโลกเสมือนจริง และความเป็นไปได้ในสิ่งที่เราไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนว่าจะเป็นไปได้ ในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกันแบบไร้พรมแดนไร้รอยต่อ สังคมแห่งอนาคตก็ถือเป็นพื้นที่ใหม่สำหรับงานสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัดทางความคิด ที่ไม่เพียงแต่เทคโนโลยีจะมาอำนวยความสะดวกแต่จะมาเป็นแรงผลักดันการเปลี่ยนแปลงให้สังคมก้าวไปในทางบวกและมีความเท่าเทียมมากขึ้น ในโลกของการตลาดเองต้องมีการปรับกระบวนการและความคิดตอบสนองทุกอินไซด์ในทุกวินาทีดิจิตอลของผู้บริโภคเพื่อยังให้แบรนด์มีพื้นที่อยู่ในโลกของผู้บริโภคแบบเต็มใจและไม่ยัดเยียด
—————————————————————-
วฤตดา วรอาคม
Head of Digital Strategy & Social MRM//McCANN
#SouthxMRM