กลุ่มอินทัช โดย อินทัช และเอไอเอส ผนึกกำลัง ร่วมสนับสนุนการจัดงาน Startup Thailand 2016 สนองตอบนโยบายรัฐบาล สานต่อ “Ecosystem เพื่อธุรกิจสตาร์ทอัพไทย”
ชูศักยภาพจุดแข็งในกลุ่ม ทั้งด้านการร่วมลงทุนจากโครงการ INVENT และการพาเข้าถึงลูกค้าทั้งในและต่างประเทศโดย AIS The StartUp ล่าสุด แจ้งเกิดช่องทางเชื่อมต่อธุรกิจ 24 ชม. กับโครงการใหม่ “AIS The StartUp CONNECT” เปิดโอกาสให้เหล่าสตาร์ทอัพ ก้าวสู่การเป็นดิจิทัลพาร์ทเนอร์กับเอไอเอสได้ตลอดเวลา ผ่านทาง www.ais.co.th/thestartup โดยไม่ต้องเสนอผลงานผ่านการประกวด เพื่อร่วมกันต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์และวางแผนทางธุรกิจการตลาดร่วมกับเอไอเอส ภายใต้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในทุกมิติ
นายสุวิทย์ อารยะวิไลพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานบริหารผลิตภัณฑ์เอไอเอส กล่าวว่า “นับตั้งแต่ปี 2554 ที่เอไอเอสได้จุดประกายการสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพขึ้นในประเทศไทย ผ่านโครงการ AIS The StartUp เพื่อเปิดโอกาสให้นักคิด นักพัฒนา และผู้ประกอบการดิจิทัลหน้าใหม่ ได้เข้าร่วมเป็นดิจิทัลพาร์ทเนอร์กับเรา ในรูปแบบของกิจกรรมการประกวดนำเสนอผลงาน (Pitching) ต่อคณะกรรมการ เพื่อหาทีมชนะเลิศ ได้รับเงินรางวัล พร้อมต่อยอดผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดจริงกับเอไอเอส รวมถึงได้รับโอกาสในการนำเสนอผลงานต่อนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศในเวทีนานาชาติต่างๆ
ซึ่งตลอด 5 ปีที่ผ่านมา มีกลุ่มสตาร์ทอัพเข้าร่วมโครงการกว่า 2,000 ไอเดียและผลิตภัณฑ์ และได้ร่วมต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดมากมาย อาทิ StockRadars, Golfdigg, ShopSpot FlowAccount, Social Giver, Local Alike รวมถึงได้รับความสนใจจาก Venture Capital ร่วมลงทุนด้วย ซึ่งจากการทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ทำให้เรามองเห็นว่า วันนี้ เมื่อ Digital Infrastructure มีความพร้อมแล้ว สตาร์ทอัพก็จะมีโอกาสมากขึ้นที่จะนำไอเดียและ Business Model มาสร้างเป็นธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม จึงควรได้รับการสนับสนุนผ่านช่องทางที่สะดวกทุกเวลา อีกทั้งเทรนด์ของธุรกิจสตาร์ทอัพในไทยเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มีคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจหันมาสร้างธุรกิจของตัวเองเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีไอเดียใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน และธุรกิจเป็นเรื่องที่รอไม่ได้
วันนี้ เราจึงได้เปิดตัวโครงการ “AIS The Startup CONNECT” เป็นช่องทางใหม่ให้สตาร์ทอัพ สามารถเชื่อมต่อธุรกิจกับเราได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องรอการประกวดประจำปีเหมือนที่ผ่านมา โดยเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพสามารถส่งผลงานเข้ามาที่ www.ais.co.th/thestartup ได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยทุกผลงานที่ส่งเข้ามาจะได้รับการพิจารณาโดยทีมงาน มืออาชีพจากเอไอเอส และจะมีการนัดหมายสตาร์ทอัพ เพื่อเข้ามานำเสนอผลงานและร่วมพูดคุยธุรกิจด้วยกันต่อไป
ซึ่งเราเปิดโอกาสให้แก่ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลในหลากหลายรูปแบบ ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ อาทิ On-demand Economy (แพลตฟอร์มที่ประสานความต้องการซื้อและขายสินค้า), สังคมออนไลน์ และไลฟ์สไตล์, Smart Living & IOT, Payment & FinTech (ระบบชำระเงินและเทคโนโลยีด้านการเงิน), Social enterprise (กิจการเพื่อสังคม), ดิจิทัลเกม และแกนล่าสุดอย่าง Travel Tech (เทคโนโลยีเพื่อการท่องเที่ยว และ Smart SMEs Solutions (นวัตกรรมใหม่เพื่อธุรกิจขนาดย่อม) ซึ่งสอดคล้องการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศที่เน้นเรื่องการท่องเที่ยว และธุรกิจขนาดเล็กมากขึ้น
โดยเอไอเอสพร้อมให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพในทุกมิติ โดยเฉพาะ Infrastructure บนโครงข่ายดิจิทัล ทั้งด้านเทคโนโลยี กลยุทธ์-เทคนิคทางการตลาด ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า อาทิ One Stop Payment Service ที่มีทั้ง mPAY payment gateway และ Operator Billing & Charging, ทีมขายที่มีความรู้ความสามารถ เชี่ยวชาญทางด้านการขาย และสามารถให้คำปรึกษากับลูกค้าได้ อย่างมืออาชีพ รองรับการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ ด้วยทีมขายกว่า 200 คน, และ การร่วมทำ Bundling package กับ AIS เป็นต้น โดยเตรียมงบสนับสนุนตลอดทั้งโครงการ มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท รวมถึงโอกาสในการนำเสนอผลงานต่อผู้บริหารระดับสูงของโอเปอเรเตอร์ในเครือ Singtel Group ที่มีช่องทางเข้าถึงฐานลูกค้ากว่า 550 ล้านรายในภูมิภาค และนักลงทุนจากทั่วโลก”
“เอไอเอสเชื่อมั่นว่าโครงการ “AIS The StartUp CONNECT” จะช่วยลดข้อจำกัดในการสร้างธุรกิจให้กลุ่มสตาร์ทอัพเติบโตมากยิ่งขึ้น รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการสร้างสรรค์คอนเทนต์และบริการดิจิทัลออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมโดยรวมของประเทศ ตอบสนองนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างแท้จริง” นายสุวิทย์กล่าว
ด้านนายธนพงษ์ ณ ระนอง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานบริษัทร่วมทุน บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงนโยบายการสนับสนุนกลุ่มสตาร์ทอัพว่า “ปัจจุบัน Ecosystem ของสตาร์ทอัพเมืองไทยมีการเติบโต และมีกลุ่มผู้ประกอบการรายใหม่ทั้งในประเทศ และต่างประเทศที่มีศักยภาพเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ดังนั้น ทางโครงการอินเว้นท์ (InVent) ซึ่งเป็นโครงการร่วมลงทุนในรูปแบบ คอร์ปอเรต เวนเจอร์ แคปปิตอล (Corporate Venture Capital) จึงต้องการส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ที่มีศักยภาพในธุรกิจโทรคมนาคม สื่อ เทคโนโลยีสารสนเทศ และดิจิตอลคอนเทนต์ ตลอดจนธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่มอินทัช ให้สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ออกสู่ตลาดได้มากขึ้น นอกจากการสนับสนุนเงินลงทุนแล้ว อินเว้นท์ ยังช่วยหาโอกาสทางธุรกิจและสามารถขยายความร่วมมือไปยังธุรกิจอื่นๆ ในกลุ่มอินทัช ที่มีฐานลูกค้าที่ใช้โทรศัพท์มือถือกว่า 40 ล้านราย มีความเชี่ยวชาญมีเครือข่ายและพันธมิตรที่สามารถช่วยขยายการเติบโตของธุรกิจให้เข้าถึงตลาดระดับสากลได้ในวงกว้าง ซึ่งจะเป็นการขยายการลงทุนที่จะทำให้กลุ่มอินทัชมีการเติบโตมากยิ่งขึ้น”
“นับตั้งแต่เปิดโครงการอินเว้นท์ในปี 2555 ถึงปัจจุบัน ได้เข้าร่วมลงทุนกับกลุ่มสตาร์ทอัพแล้วทั้งหมด 9 บริษัท คือ OOKBEE, Meditech, Computerlogy, Infinity Levels studio, Sinoze, Playbasis, Golfdigg, ShopSpot และรายล่าสุด Wongnai ซึ่งการลงทุนของอินเว้นท์เป็นการลงทุนในแบบ Strategic Value เพื่อให้อินทัช และผู้ที่เราร่วมลงทุนด้วยมีการเติบโตไปพร้อมๆ กันอย่างยั่งยืนในระยะยาว เกิดการสร้างงานในสาขาวิชาชีพที่หลากหลาย รวมทั้งมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม ส่วนแนวทางการลงทุนของอินเว้นท์ในอนาคต จะเน้นการลงทุนในระดับซีรี่ส์ B มากขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าการลงทุนของอินเว้นท์จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศผู้ประกอบการรายใหม่ได้ผลิตผู้ประกอบการที่มีคุณภาพเข้าสู่ตลาดต่อไป ”นายธนพงษ์ กล่าว