ในความเป็นไทย เมนูบ้านๆ แต่อินเตอร์สุดๆ ต้องยกนิ้วให้ “ส้มตำ” เป็นอะไรที่เราหากินได้ง่าย ง่ายกว่าหาร้านสะดวกซื้อสักสาขาซะอีก เพราะมีขายทุกทำเล ตั้งแต่ข้างถนนไปจนถึงยกพลขึ้นห้าง ครั้งหนึ่งใครจะคิดว่า “ส้มตำ” จะขายขึ้นห้างได้? แต่ปัจจุบันกำลังเป็นที่น่าจับตามอง ในที่ร้านอาหารสไตล์ไทยๆกำลังขาขึ้น
ล่าสุดกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำรวจข้อมูล ณ 31 มีนาคม 2560 พบว่า มีธุรกิจภัตตาคาร และ ร้านอาหาร ที่ดําเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ จํานวน 11,945 ราย ส่วนใหญ่จะจัดตั้งในรูปแบบบริษัทจํากัด จํานวน 10,443 ราย คิดเป็น 87.43% รองลงมา คือ ห้างหุ้นส่วนจํากัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จํานวน 1,497 ราย คิดเป็น 12.53% ในขณะที่มีการจัดตั้งในรูปแบบ บริษัทมหาชน จํากัด มีจํานวนเพียง 5 ราย คิดเป็น 0.04% มูลค่าทุนจดทะเบียนนิติบุคคลธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหาร มีมูลค่า 77,423 ล้านบาท และยังพบว่า ธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหารถึง 99.72% เป็น ธุรกิจ SMEs โดยส่วนใหญ่มีทุนจดทะเบียนอยู่ระหว่าง1 – 5 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังพบว่า เมื่อแยกการลงทุนตามสัญชาติของธุรกิจภัตตาคาร และร้านอาหารออกมาแล้ว ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของคนไทยกว่า 57,341 ล้านบาท คิดเป็น 74.06% และการลงทุนของต่างชาติ มูลค่า 20,082 ล้านบาท คิดเป็น 25.94% ส่งผลให้มูลค่าตลาดร้านอาหารมีกว่า 3.9-4แสนล้านบาท เติบโตต่อเนื่องทุกปี
ทั้งนี้หากเจาะลึกลงไป จะพบว่ากลุ่มการลงทุนของคนไทยนั้นกำลังรุกในกลุ่มอาหารไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มร้านอาหารอีสาน ซึ่งเป็นที่น่าจับตามองมากที่สุด เพราะเป็นอะไรที่มีแต่ขายได้ขายดี ทุกเมนูขึ้นชื่อว่าจัดจ้านถูกปากคนไทยที่สุดรวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน จึงไม่แปลกที่ร้านอาหารอีสานหลายๆร้าน ต่างได้รับความนิยมอย่างล้นหลามตั้งแต่กลุ่มกำลังซื้อน้อยไปจนถึงระดับเศรษฐี ยิ่งบวกกับพลังโซเชียลในวันนี้ด้วยแล้ว ใครที่กรุยทางมาเป็นเจ้าแรก ย่อมได้เปรียบ เพราะในยุคปัจจุบัน ของดีบวกกับแรงหนุนจากโลกโซเชียลยิ่งส่งผลต่อยอดขายแบบถล่มทลาย
โอกาสทางธุรกิจของร้านอาหารอีสานที่กำลังไต่สูงขึ้น จากความสามารถในการตีตลาดได้ทุกหย่อมหญ้า รวมถึงชาวต่างชาติ บวกกับการเปิดการค้าเสรีอาเซียน “เซ็นคอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป” กลุ่มธุรกิจร้านอาหารชั้นนำในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงได้คว้าโอกาสคัดสรรธุรกิจร้านอาหารอีสานแบรนด์ “ตำมั่ว” มาไว้ในมือ ส่งผลให้ “ตำมั่ว” ร้านอาหารอีสาน มีศักยภาพมากขึ้นไปอีกขั้นในการรุกทำตลาด เพื่อการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง
และล่าสุด “ตำมั่ว” ได้เปิดตัวพรีเซนเตอร์ “ก้อง ห้วยไร่” เจ้าของเพลงฮิตร้อยล้านวิว ชูมิวสิคมาร์เก็ตติ้งพร้อมบุกดิจิตอล ย้ำผู้นำร้านอาหารอีสานแซ่บต้นตำรับตัวจริง ความเผ็ดจัดจ้านใส่พริกล้านเม็ดครั้งนี้ จะช่วยให้แบรนด์ “ตำมั่ว” เป็นที่รู้จักและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
“ศิรุวัฒน์ ชัชวาลย์” หัวหน้ากลุ่มบริหารธุรกิจอาหารไทย บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ปีนี้”ตำมั่ว”ได้นำกลยุทธ์ “มิวสิค มาร์เก็ตติ้ง” มาใช้ เพื่อต่อยอดความสำเร็จของตำมั่วไปอีกขั้น โดย “ก้อง ห้วยไร่” สุดยอดขวัญใจชาวอีสานที่กำลังมาแรง ร่วมเป็นพรีเซนเตอร์ของแบรนด์ตำมั่ว อีกทั้งบริษัทยังได้ร่วมกับค่ายเพลงซาวด์มีแฮง ปล่อยซิงเกิ้ลและมิวสิควิดีโอ “บ่เป็นหยัง” ที่กำลังฮิตติดชาร์ต ด้วยยอดวิวถล่มทลายมากกว่า 1 ล้านวิว ภายในเวลาไม่ถึง 20 ชั่วโมง เพื่อให้แบรนด์ “ตำมั่ว” เข้าถึงผู้บริโภคทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นวัยทำงาน ครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ชื่นชอบและติดตามผลงานของก้อง ห้วยไร่ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นอกจากนี้ “ตำมั่ว”ยังได้ปูพรมจัดกิจกรรมการตลาดแบบ 360 องศา เพื่อต่อยอดแบรนด์ผ่านช่องทางออฟไลน์ และออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และสื่อภายในร้าน อีกทั้งยังจัดเต็มกิจกรรมที่จะช่วยให้ลูกค้าได้ใกล้ชิดกับแบรนด์มากยิ่งขึ้น ด้วยคอนเสิร์ตสุดเอ็กซ์คลูซีฟจากก้อง ห้วยไร่ ที่จะเดินสายมอบความสุขให้แก่ลูกค้าร้านอาหารตำมั่วทั้งในประเทศ และที่ประเทศลาว นอกจากนี้ ตำมั่วยังจับมือกับค่ายเพลงซาวด์มีแฮง เพื่อเป็นพันธมิตรในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ค้าปลีกในเครือตำมั่ว น้ำปลาร้าตำมั่วสู่ผู้บริโภคในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถือเป็นการจับกลุ่มลูกค้ารายใหม่ๆ อีกทางหนึ่งด้วย
“เราเชื่อมั่นว่าการเปิดตัวก้อง ห้วยไร่ เป็นพรีเซนเตอร์ พร้อมด้วยแคมเปญสนับสนุนการตลาดแบบครบวงจรในปี 2560 นี้ นอกจากจะเป็นการสร้างสีสันให้แก่ตลาดร้านอาหารอีสานในไทยแล้ว ยังจะมีส่วนสำคัญในการผลักดันการเติบโตของ
ตำมั่วให้เพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่วางไว้ ตอกย้ำความสำเร็จของตำมั่วในฐานะหนึ่งในผู้นำร้านอาหารอีสานรสชาติต้นตำรับในประเทศไทยอย่างแท้จริง” นายศิรุวัฒน์ กล่าวสรุป
การตลาดของ “ตำมั่ว”ผ่านมิวสิคมาร์เก็ตติ้ง จะเป็นใบเบิกทางสู่ระดับอินเตอร์ได้ง่ายยิ่งขึ้น กับกลุ่มคนไทยในต่างแดนและประเทศเพื่อนบ้าน ถือเป็นก้าวเล็กๆที่ไม่ธรรมดา ในการไปสู่การขยายสาขาในระดับโลก ที่สำคัญเป็นกำลังสำคัญให้กับกลุ่มร้านอาหารที่ศิรุวัฒน์ดูแลอยู่ สู่เป้าหมาย 1,500 ล้านบาทได้