หลังจากเดือนที่แล้วที่ข่าวใหญ่ในวงการธุรกิจ เมื่อ เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ทุ่มซื้อแฟรนไชส์ KFC ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ บริษัท ยัม เรสเตอร์รองส์ (ประเทศไทย) จำนวน 240 สาขา (อ่านต่อคลิกที่นี่) ในวันนี้ มีรายงานข่าวว่า กลุ่มไทยเบฟฯ ยังเดินหน้าซื้อกิจการอาหารประเภท QSR 2 แบรนด์ดัง ในมาเลเซีย ประกอบด้วย KFC และ Pizza Hut
ปัจจุบันลิขสิทธิ์ของทั้ง 2 แบรนด์นี้ เป็นของ กลุ่ม QSR Brands ซึ่งมีผู้ถือหุ้น 3 ราย ประกอบด้วย Johor Corporation มีหุ้นอยู่ที่ตัวเลข 51% ขณะที่ Employees Provident Fund (EPF-กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของมาเลเซีย) และ กลุ่มนักลงทุน Private Equity จากยุโรป (CVC Capital Partners) ถือหุ้นอยู่ 25% และ 24% ตามลำดับ
ในตอนที่ Johor Corporation เข้าซื้อสิทธิ์แบรนด์ KFC เมื่อปี 2012 และเสร็จสมบูรณ์ในปี 2013 มูลค่าดีลในตอนนั้นก็สูงถึง 5.1 พันล้านริงกิตหรือประมาณ 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐแล้ว ดังนั้นถ้าหากว่ากลุ่มไทยเบฟฯ จะเข้าซื้อกิจการดังกล่าวก็น่าจะมีมูลค่าสูงกว่าเดิม และแหล่งข่าวกล่าวว่าการเข้าซื้อหุ้นของไทยเบฟฯ จะเป็นการเข้าซื้อหุ้นจาก EPF และ CVC ซึ่งทางกลุ่มนักลงทุนจากยุโรปนี้ก็มีแผนจะเข้ามาลงทุนในมาเลเซียเพียง 5 ปีอยู่แล้ว และกรอบเวลาในช่วงนี้ก็ตรงกับแผนการดังกล่าว ในขณะที่ EPF ก็น่าจะยินยอมขายหุ้น ถ้าหากว่าได้ราคาที่เหมาะสม
QSR Brands มีร้าน KFC ในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน และกัมพูชา รวมทั้งหมด 775 สาขา ในส่วนของ Pizza Hut ก็มีในประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์ รวม 390 สาขา นอกเหนือจากการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ รวมทั้งเข้าซื้อ Fraser and Neave หรือ F&N แล้ว นับว่าครั้งนี้เป็นอีกระลอกของการขับเคลื่อนเพื่อเข้าสู่ตลาดอาเซียนของเจ้าสัวเจริญ เลยทีเดียว
และถ้าหากว่ามองในภาพรวมของธุรกิจในมือของกลุ่มไทยเบฟฯ ก็จะพบว่าทั้งหมดเป็นจิ๊กซอว์ที่เกี่ยวเนื่องกันเพราะเมื่อประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา เจ้าสัวเจริญ เดินทางไปประเทศมาเลเซีย เพื่อเข้าพบกษัตริย์ของมาเลเซียด้วยตัวเอง และแสดงความสนใจในการนำบิ๊กซี ในรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต ไซส์ 3,000-4,000 ตารางเมตร เข้าไปเปิดที่มาเลเซีย ด้วยงบประมาณ 200-300 ล้านบาทต่อสาขา