HomeBrand Move !!“สนีกเกอร์” ไทยเตรียมสะเทือน ‘atmos’ ร้านสนีกเกอร์ญี่ปุ่นบุกไทย

“สนีกเกอร์” ไทยเตรียมสะเทือน ‘atmos’ ร้านสนีกเกอร์ญี่ปุ่นบุกไทย

แชร์ :

Photo Credit : www.atmos-bangkok.com

เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา “Adidas” แบรนด์สินค้ากีฬายักษ์ใหญ่ระดับโลก ได้เปิดตัวช้อปใหญ่สุดในอาเซียน และเอเชียแปซิฟิค “Adidas Brand Center” ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิล์ด บนพื้นที่กว่า 1,100 ตารางเมตร นับเป็นช้อปลำดับที่ 9 ของโลก หลังจากก่อนหน้านี้ทยอยเปิดตามเมืองใหญ่ของโลก เช่น ปารีส ฮ่องกง เกาหลี จีน ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ผ่านไปไม่นาน…ล่าสุด “atmos” เชนค้าปลีกเสื้อผ้าแนว “สตรีทแวร์” (Streetwear) และ “สนีกเกอร์” (Sneaker) จากญี่ปุ่น เตรียมเข้ามาเปิดสาขาแรกในไทยที่กรุงเทพฯ ซึ่งใครที่เดินทางไปญี่ปุ่น ย่อมต้องเคยเห็น หรือผ่านตาร้าน “atmos” กันมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะคนที่ชื่นชอบการใส่สนีกเกอร์ และเหล่านักสะสม ย่อมต้องไม่พลาดที่จะแวะเข้าร้านนี้อย่างแน่นอน

ร้าน “atmos” ถือกำเนิดขึ้นในเมืองโตเกียว เมื่อปี 2000 ก่อตั้งโดย Hidefumi Hommyo เริ่มจากร้านขนาดเล็ก ก่อนจะค่อยๆ ขยายตัว กระทั่งทุกวันนี้เป็นหนึ่งในร้านจำหน่ายสนีกเกอร์ที่มีอิทธิพลต่อการวางจำหน่ายคอลเลคชั่นพิเศษของแบรนด์กีฬาระดับโลก เช่น Nike, adidas, ASICS, PUMA แม้ปัจจุบัน “Atmos” มีมากกว่า 30 สาขาในญี่ปุ่น ขณะที่ในต่างประเทศ เปิดที่นิวยอร์กเป็นแห่งแรก กระทั่งเมื่อเดือนมกราคมปีนี้ ขยายไปยังกรุงโซล เกาหลีใต้

Photo Credit : www.atmos-tokyo.com

จำนวนสาขาในญี่ปุ่นของ atmos ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับเชนร้านรองเท้า “ABC-Mart” ที่มีสาขากระจายอยู่ทุกหนแห่งตามเมืองต่างๆ ในญี่ปุ่น แต่ความพิเศษของร้าน “atmos” อยู่ตรงที่การเป็นเชน Multi-brand Store ที่รวบรวมสินค้ารุ่น “Exclusive Sneakers” จากหลายแบรนด์มาไว้ในที่เดียว ทำให้ดึงดูดทั้งนักสะสม และคนที่หลงรักสนีกเกอร์ ทั้งคนญี่ปุ่น และคนต่างประเทศแวะมาที่ร้าน ซึ่งแตกต่างจากร้าน “ABC-Mart” ที่เน้นขายรองเท้ากีฬาแบรนด์ต่างๆ ในรุ่นทั่วไป ไม่ได้เน้นคอลเลคชั่นพิเศษ

ทั้งนี้ การเปิดสาขาแรกในไทยของ “atmos” สะท้อนให้เห็นถึง 3 เทรนด์ของการเปลี่ยนแปลงตลาดสินค้ากีฬา ที่เป็นปัจจัยบวก ผลักดันให้ “ตลาดสนีกเกอร์” ในไทยเติบโต และแข่งขันกันดุเดือด

1. ด้วยความที่เวลานี้ บรรดาแบรนด์สินค้ากีฬารายใหญ่ ได้พัฒนาคอลเลคชั่นที่ผสานความเป็น “แฟชั่น” เข้าไป ทำให้ “โลกกีฬา” กับ “โลกแฟชั่น” ถูกผนวกรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว

2. เมื่อ “กีฬา” และ “แฟชั่น” รวมเป็นหนึ่งเดียว ส่งผลให้เทรนด์การแต่งกายแบบ “Athleisure” (มาจากผสมคำ Athlete และ leisure) ประกอบกับทุกวันนี้ไลฟ์สไตล์ของคนเมือง ใช้ชีวิตข้างนอกมากขึ้น จึงต้องการความกระฉับกระเฉง ความคล่องตัว ทำให้เวลานี้จะเห็นการแต่งกายชุดทำงานรูปแบบ Smart Casual จะมี “สินค้ากีฬา” ผสมผสานอยู่ในชุดทำงาน เช่น สวมเสื้อเชิ้ต กางเกงยีนส์ คู่กับ “สนีกเกอร์” หรือเสื้อเชิ้ต กางเกงสแล็ค พร้อมด้วย “สนีกเกอร์”

เทรนด์ Athleisure ผลักดันให้ “สนีกเกอร์” เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของคนเรามากขึ้น จากในอดีตเราจะหยิบสนีกเกอร์มาใส่ต่อเมื่อเป็นวันหยุด หรือออกกำลังกายเท่านั้น

3. คนไทยเปิดรับเทรนด์ได้เร็ว ทั้งด้านเทคโนโลยี และด้านแฟชั่น เมื่อคนไทยรับเทรนด์ใหม่เข้ามา พร้อมนำไปประยุกต์ใช้กับตนเองทันที ยิ่งมี Social Media ทำให้จุดกระแสคอลเลคชั่นใหม่เร็วขึ้นเป็นทวีคูณ เห็นได้จากในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เวลามีการเปิดตัวสนีกเกอร์รุ่น Limited Edition หรือแม้แต่สินค้าแฟชั่นคอลเลคชั่นพิเศษ คนไทยหลายคนยืนต่อแถวนานหลายชั่วโมง และยินดีจ่ายเงิน เพื่อให้ได้ครอบครองสินค้าคอลเลคชั่นพิเศษ นี่จึงทำให้สนีกเกอร์รุ่น Limited Edition หรือรุ่นพิเศษ มักจะได้การตอบรับอย่างคึกคักจากตลาดประเทศไทย

Photo Credit : Instagram atmos_tokyo

นอกจากนี้ ปัจจุบันมี “ช่องทางจำหน่าย” ที่หลากหลาย ทั้งของแบรนด์เอง และร้านในกลุ่ม Select Store โดยหลายเหล่านี้จะเฟ้นหาสินค้าพิเศษมาวางจำหน่าย

การเข้ามาเปิดสาขาแรกในไทยของ “atmos” จะเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นเข้ามาเขย่าตลาดสนีกเกอร์ในไทยให้แข่งขันรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะร้านที่เป็น Select Shop จะแข่งขันเลือกสรรสินค้าคอลเลคชั่นพิเศษมานำเสนลูกค้า และที่สำคัญจะยิ่งผลักดันให้ตลาดสนีกเกอร์ในไทยเติบโตมากขึ้น ทั้งในแง่มูลค่าตลาด (Value Growth) และทำให้คนที่หันมาใส่สนีกเกอร์ในชีวิตประจำวันมากขึ้น

Photo Credit : Instagram atmos_tokyo

Photo Credit : Instagram atmos_tokyo


แชร์ :

You may also like