หลายปีก่อนเมื่อเอ่ยชื่อ “หัวเว่ย” (Huawei) ผู้บริโภคส่วนใหญ่สงสัยว่าคืออะไร ออกเสียงยากจัง แล้วคุณภาพจะเป็นอย่างไร เป็นแบรนด์จีน แล้วจะน่าเชื่อถือเหรอ ?!? วันเวลาผ่านไป จากแบรนด์ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก ทั้งยังไม่ติด Top of mind brand ในตลาดสมาร์ทโฟน วันนี้กลับกลายเป็นแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลระดับโลก และเป็นหนึ่งในแบรนด์สัญชาติจีนที่ช่วยพลิกภาพลักษณ์ Made by China ให้เป็นที่ยอมรับทั่วโลก !!
หลังพิสูจน์ตัวตนในเวทีระดับโลกได้สำเร็จแล้ว…เป้าหมายใหญ่ไปกว่านั้น คือ การก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ในตลาดสมาร์ทโฟนโลก ภายในปี 2020
เมื่อเบื้องหน้าที่โปรดักต์ที่วางโชว์อยู่ในร้าน แต่รู้หรือไม่อะไรคือ ยุทธศาสตร์เบื้องหลังสำคัญที่จะทำให้ “หัวเว่ย” ไปแตะขอบฟ้าตามที่ฝันไว้ เรามาค้นหาคำตอบกัน ?!…
1. R&D ถือเป็น Core Competency ที่ขับเคลื่อนให้ “หัวเว่ย” ก้าวขึ้นมายืนแถวหน้าได้ถึงทุกวันนี้ และจะเป็นกุญแจสำคัญที่พาไปถึงเป้าหมาย เพราะทำให้สามารถพัฒนานวัตกรรมได้เอง โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา งบลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา สูงถึง 45,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังติด 1 ใน 5 บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่ใช้งบลงทุน R&D สูง
2. Full Product Line up ในบรรดาผู้ผลิตสมาร์ทโฟนทั่วโลก มีเพียง 2 แบรนด์ที่ผลิตและทำตลาดครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ตั้งแต่ตลาดพรีเมียม (ราคาตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไป) – ตลาดกลาง (ราคา 7,000 – 10,000 บาท) – ตลาดล่าง (ราคา 5,000 บาทลงมา) คือ “ซัมซุง” และ “หัวเว่ย”
โดย Product Portfolio ของ “หัวเว่ย” ประกอบด้วย ตลาดพรีเมียม วาง 2 ซีรีย์ร่วมกันตีตลาด บนจุดขายที่แตกต่างกัน นั่นคือ “Mate Series” เน้นฟังก์ชั่นการใช้งานเชิง Business และ “P Series” เน้นการถ่ายภาพ
ขณะที่ตลาดกลาง ซึ่งถือเป็นฐานใหญ่ของตลาดในเมืองไทย ใช้ 2 รุ่นบุกตลาด คือ “GR Series” ระดับราคา 7,000 – 8,000 บาท และ “Nova 2i” ราคา 10,900 บาท ชูจุดขายฟังก์ชั่นครบ ในราคาจับต้องได้ ส่วนตลาดล่างใช้ตระกูล “Y Series” รุกตลาด
3. Premium Mass Strategy กลยุทธ์ราคาเป็นอีกจุดขายหลักที่ทำให้ “หัวเว่ย” แจ้งเกิด และเติบโตได้รวดเร็ว เพราะนำเสนอการเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนคุ้มค่าคุ้มราคาในแต่ละเซ็กเมนต์ ด้วยฟังก์ชั่นที่ครบ และให้มากกว่าคู่แข่ง ในระดับราคาที่คุ้มกว่า นี่จึงทำให้ “หัวเว่ย” ยังคงรักษาฐานลูกค้าเดิม ควบคู่ไปกับการขยายฐานลูกค้าใหม่ที่ “เปลี่ยนใจ” จากแบรนด์อื่น หันมาใช้สมาร์ทโฟนแดนมังกรแบรนด์นี้
4. Partnership เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ทุกวันนี้ต้องสร้างเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ แล้วผสานกำลังร่วมกัน อย่างที่ผ่านมาปัจจัยที่ทำให้ชื่อของ “หัวเว่ย” เป็นที่ยอมรับ นอกจากทุ่มพัฒนาเทคโนโลยีแล้ว อีกส่วนหนึ่งคือ การได้พันธมิตรธุรกิจที่ลงตัว โดยเฉพาะการจับคู่กับ “Leica” แบรนด์ผู้ผลิตกล้องและเลนส์ระดับโลก มาร่วมกันพัฒนากล้องในตระกูล “Mate Series” และ “P Series” อีกทั้งยังได้ทำแบรนด์ดิ้งร่วมกัน ซึ่งเป็นวิธี Short cut ช่วยสร้างการรับรู้ให้แบรนด์ “หัวเว่ย” และ “เทคโนโลยี” ติดตลาดเร็วขึ้น
ตั้งเป้าครองอันดับ 2 เซ็กเมนต์พรีเมียมในไทย
สำหรับตลาดไทย เป็นหนึ่งใน Strategic Country ของหัวเว่ยที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เป้าหมายในปีนี้ ต้องการขึ้นเป็นอันดับ 2 ของตลาดสมาร์ทโฟน เซ็กเมนต์พรีเมียในไทย โดยหัวหอกที่จะผลักดันให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ คือ “P20 Series” ที่พยายามสร้าง “มาตรฐานใหม่” ด้านการถ่ายภาพด้วยกล้องสมาร์ทโฟน ด้วยเทคโนโลยี “Master AI” ทำให้ผู้ใช้งาน ถ่ายภาพได้แบบมืออาชีพ โดย P20 วางจำหน่ายในราคา 19,900 บาท และ P20 Pro วางจำหน่ายในราคา 27,990 บาท
เช่น ฟังก์ชั่นตรวจจับและวิเคราะห์ฉากหลักกว่า 500 แบบ และวัตถุต่างๆ ได้ 19 ประเภท พร้อมปรับตั้งค่าต่างๆ อัตโนมัติให้เหมาะสมกับวัตถุที่ถ่ายมากที่สุด และระบบ “Huawei AIS” รองรับการถายภาพแบบเปิดรับแสงนานโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง ซึ่งเหมาะกับการถ่ายภาพในที่แสงน้อย และระบบการจับโฟกัสตามวัตถุแบบ 4 มิติ รวมถึงระบบ AI-Assisted Composition ช่วยจัดองค์ประกอบภาพโดยใช้ AI พร้อมกล้องหน้า 24 ล้านพิกเซล และเทคโนโลยี Portrait Lighting ช่วยการถ่ายภาพเซลฟี่
“ปัจจุบันหัวเว่ย เป็น Top 3 Brand ของตลาดสมาร์ทโฟนพรีเมียมในไทย ทุกวันนี้ผู้บริโภคมองหาสินค้าตอบโจทย์ได้ดียิ่งขึ้น แต่ที่ผ่านมา Feature ของสมาร์ทโฟนไม่แตกต่าง แต่สำหรับการเปิดตัว “P20 Series” เหตุผลที่เราไม่ใช้ชื่อรุ่นเป็น P11 Series เพราะเรามองว่า P20 Series จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับตลาดสมาร์ทโฟนอย่างมีนัยยะสำคัญ ด้วยการเป็นสมาร์ทโฟนเพื่อการถ่ายภาพ ที่ไม่ใช่แค่เป็นกล้องมือถือ แต่คุณสมบัติต่างๆ เหมือนเป็นกล้อง DSLR ที่อยู่บนมือถือ ทำให้ทุกคนถ่ายภาพได้แบบมืออาชีพ” คุณทศพร นิษฐานนท์ รองผู้อำนวยการ หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ประเทศไทย เล่าถึงความมั่นใจในการทำตลาด P20 Series
นอกจากการเปิดตัวสินค้าใหม่แล้ว ยังมีแผนเพิ่มช่องทางจำหน่าย และการให้บริการมากขึ้น โดยตั้งเป้าเพิ่มแบรนด์ช้อปจากกว่า 90 สาขา เป็น 140 สาขาภายในปีนี้ ขณะเดียวกันขยายเครือข่ายดีลเลอร์ร้านค้า เป็น 9,000 ร้าน และเพิ่มช่องทางจำหน่ายบนอีคอมเมิร์ซ โดยเป็นพันธมิตรกับ LAZADA, 11Street, Shopee