แม้เศรษฐกิจโลกจะไม่สู้ดีนัก แต่พอเอาเข้าจริง หากเป็นเรื่องของหรูๆ สินค้าจำพวก Luxury (ลักซ์ชัวรี่) แล้วล่ะก็ คนทั่วโลกก็ยังไม่ขอปฏิเสธ โดยข้อมูลงานวิจัยจากบริษัทคอนเซาท์ Bain & Company เปิดเผยเมื่อเดือนตุลาคม 2012 ไว้ว่า ความจริงแล้วดีมานด์รวมของสินค้าลักซ์ชัวรี่ยังคงเพิ่มขึ้น โดยยอดขายสินค้าทั่วโลกเพิ่มขึ้นโดยประมาณ 10% ในปี 2012
สำหรับการเติบโต ในทวีปเอเชีย-แปซิฟิก ก็ยังเป็นพี่ใหญ่จีนที่ช่วยกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มขึ้น 18% และอีกส่วนคือ กลุ่มผู้บริโภคชาย ที่เริ่มถูกตีตราว่าเป็นนักช้อปสินค้าลักซ์ชัวรี่เป็นสัดส่วนถึง 41% โดยประมาณของยอดซื้อรวมปี 2012
ส่วนการขายผ่านออนไลน์สำหรับสินค้าลักซ์ชัวรี่ ก็ถูกมองว่าเติบโตสูงใน 2012 ด้วยเช่นกัน โดยตลาดมีการกระตุ้นจากการแข่งขันของผู้เล่นประเภทที่มีหน้าร้านทางออนไลน์เพียงอย่างเดียว, เว็บไซต์รีเทลของห้างสรรพสินค้า, และออนไลน์สโตร์ของแบรนด์ต่างๆ โดยในปี 2012 การเติบโตของยอดขายสินค้าลักซ์ชัวรี่ทางออนไลน์ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอที่ 25% เท่ากับการเติบโตตลอด 2 ปีที่ผ่านมา
ไม่เพียงเท่านั้น ร้านค้าปลีกทางออนไลน์เริ่มที่จะถูกคาดหวังให้มีสัดส่วนยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นจากยอดขายรวม โดยในปี 2012 ยอดขายของสินค้าลักซ์ชัวรี่เต็มราคาที่ซื้อขายทางออนไลน์มีสัดส่วนเป็น 67% เมื่อเปรียบเทียบกับสัดส่วนยอดของสินค้าลดราคาที่ 33% โดยในปี 2009 การตั้งส่วนลดที่ 25% ของตลาด Retail e-commerce สำหรับสินค้าสุดหรูยังเป็นที่นิยม
และสำหรับนักการตลาด การเติบโตของการขายสินค้าแบรนด์หรูทางอีคอมเมิร์สก็ยังเป็นอีกช่องทางการขายที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น ในปี 2013 มีการสำรวจโดย Worldwide Business Research และ ShopIgnite แสดงให้เห็นว่า นักการตลาดที่ดูแลแบรนด์ลักซ์ชัวรี่ต่างๆ เริ่มสนใจหวังผลยอดขายจากการโฆษณาทางดิจิตอลเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดย 85% ของกลุ่มตัวอย่างมีแผนที่จะเพิ่มงบดิจิตอลในปีนี้ ส่วน 72% ก็ Say yes! ที่จะทุ่มงบโซเชียลมีเดียเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
ผู้เรียบเรียง Scarlet
ที่มา : emarketer