Apple รายงานผลการดำเนินการของไตรมาสที่ 3 ในวันนี้ ด้วยรายได้ 53.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากกว่าตัวเลขที่คาดการณ์ไว้ถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือว่าเป็นไตรมาสที่มีความแข็งแกร่งที่สุดของบริษัท แม้ว่ายอดขาย iPhone จะลดลงเพราะลูกค้าต่างรอ iPhone รุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวในไม่ช้านี้ แต่ราคาเฉลี่ยของ iPhone ที่มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่เครื่องละ 724 ดอลลาร์สหรัฐฯ มากกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมิณไว้ที่ 693 ดอลลาร์สหรัฐฯ
Apple คาดหวังรายได้ในไตรมาส 4 อยู่ที่ 60-62 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นการเติบโต 16-19% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เหตุผลที่ตัวเลขคาดการณ์อยู่ในเกณฑ์สูงก็เพราะ จะมีการเปิดตัวอุปกรณ์หลายชนิดในฤดูใบไม้ร่วงนี้ และจากข่าวลือที่ผ่านมา ก็มีแนวโน้มว่า iPhone จะเปิดตัว 3 รุ่นด้วยกัน ในขณะที่ผู้บริโภคเองยังคงตั้งตารอ iPad Pro รุ่นใหม่ และ Apple Watch ที่จะมาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ ในไตรมาสที่ผ่านมา Tim Cook ผู้บริหารของ Apple ไม่ได้คอนเฟิร์มข่าวลือเรื่อง iPhone X รุ่นกลาง แต่เขาคอมเมนต์ว่าบริษัทอาจจะ “ออก iPhone ที่มีความแตกต่างเพื่อตอบโจทย์ให้สิ่งที่คนอีกจำนวนหนึ่งต้องการ”
อย่างไรก็ตามไตรมาส 4 ของ Apple จะสวยงามถึงฝากฟ้าทะเลที่ฝันไว้จริงหรือไม่ อาจยังต้องลุ้นสักหน่อย เพราะถึงแม้กำลังจะมี iPhone ใหม่ออกมาอีก 3 รุ่น บวกกับ MacBook Pro 2018 ที่ตอนนี้เผยโฉมออกมาให้เห็นกันแล้วล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าที่เปิดตัวแล้วรายได้ก็จะปรากฏแบบเนื้อๆ เน้นๆ ในไตรมาส 4 ก็ตาม แต่ยอดขายของเครื่อง Mac ตกลงหลายไตรมาสติดต่อกัน Apple เองก็ออกมายอมรับว่าคีย์บอร์ดแบบใหม่ที่เรียกว่า butterfly ในรุ่นที่ 1 และ 2 มีปัญหาในการออกแบบจนทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ Apple พยายามแก้ปัญหาโดยเดือนที่ผ่านมาได้ออกโปรแกรมการซ่อมคีย์บอร์ดที่มีปัญหาให้ฟรี พร้อมทั้งต่ออายุประกันคีย์บอร์ดให้กับคนที่มีปัญหาในการใช้งานไปอีก 4 ปีนับตั้งแต่วันที่ซื้อ
ไม่ใช่แค่รายได้ของการขายอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เท่านั้น อย่าลืมว่า Eco-System ของ Apple มีส่วนที่เป็นซอฟท์แวร์และคอนเทนท์ด้วย ซึ่งรายได้จากส่วนนี้ก็เติบโตไม่แพ้กัน บริการอย่าง Apple Music, iCloud และ Apple Care มีรายได้เพิ่มขึ้น 31% ไปอยู่ที่ 9.55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
หลังจากที่การประกาศ Financial Report ล่าสุดนี้ Apple มีมูลค่าหุ้นตามราคาตลาดอยู่ที่ 935 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และถ้าราคาหุ้นยังพุ่งขึ้นสูงไปกว่า 7% แล้วก็ Apple ก็จะกลายเป็นบริษัทแรกที่มีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยราคาต่อหุ้นที่ 203.46 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งดูเหมือนว่าตำแหน่งนี้อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมเลยจริงๆ