เฟซบุ๊ก

หลังจากที่มีงานวิจัยหลายชิ้นชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่ายอด Likes หรือ Reaction ต่าง ๆ บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเป็นตัวการที่ทำให้ผู้ใช้งานขาดความสุขในชีวิตเพราะมัวแต่เปรียบเทียบยอด Likes ของตัวเองกับเพื่อน ๆ จนทำให้ Instagram ต้องออกมาประกาศซ่อนยอด Likes ในบางประเทศไปแล้วนั้น นาทีนี้ดูเหมือนว่า Facebook เองก็เริ่มต้นกระบวนการดังกล่าวแล้วเช่นกัน

ศึกชิงเวลาผู้ชม และเม็ดเงินโฆษณาช่วงปลายปีเริ่มแล้ว ล่าสุดเป็น Facebook Watch ที่ออกมาเผยกลยุทธ์ด้วยการจับมือ 5 ผู้ผลิตคอนเทนต์ไทย “เวิร์คพอยท์-BEC-One31-Sense-วู้ดดี้” ผลิตคอนเทนต์บนแพลตฟอร์ม พร้อมกระตุ้นครีเอเตอร์ไทยผลิตคอนเทนต์ขนาดยาวเพิ่ม เพื่อเข้าถึงโอกาสทำรายได้จากโฆษณาบนแพลตฟอร์มของ Watch

ผ่านไปแล้วกับงานรวมพลคนโฆษณาดิจิทัล “DAAT Day 2019 – All Things Digital” ที่ในงานนอกจากจะมีการเปิดเผยเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลของประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกของ 14 หมวดอุตสาหกรรมแล้ว ยังมาพร้อมคำอธิบายสภาพตลาด และการคาดการณ์ตัวเลขการใช้จ่ายเงินของปีนี้ด้วยว่ามีโอกาสทะลุ 20,000 ล้านบาทกันเลยทีเดียว ส่วนจะมีอะไรที่เคลื่อนไหว หรือเป็นเทรนด์ในวงการโฆษณาดิจิทัลปีนี้บ้างนั้น เราขอสรุปมาฝากกันดังนี้

ทุกวันนี้ หลายครั้งที่การไปร้านกาแฟอาจหมายถึงการถูกเก็บข้อมูลส่วนตัวไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่สำหรับบริษัทสุดอื้อฉาวด้าน Data Privacy อย่าง Facebook กลับมีแนวคิดใหม่ที่อยากเปิดร้านกาแฟ พร้อมสร้างเป็นคอมมูนิตี้ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับ Privacy แทน

วันนี้ Facebook(เฟซบุ๊ก) ประกาศปิด Facebook Page ในประเทศไทย ทั้งสิ้น 10 เพจ  บวกกับ 12 แอคเคานท์ผู้ใช้งาน ด้วยข้อสังเกตุที่มีงาน ฝ่ายนโยบายความปลอดภัยไซเบอร์ ของ Facebook ตรวจพบว่า ทั้ง 10 เพจ และ 12 แอคเคานท์ดังกล่าวมี “พฤติกรรมร่วมกันในการสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวตน” (Coordinated Inauthentic Behavior หรือ CIB) ซึ่งหมายถึง พฤติกรรมที่บุคคลหรือกลุ่มคนทำงานร่วมกัน …

คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลาง สหรัฐอเมริกา(The Federal Trade Commission-FTC) สั่งปรับโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คอันดับ 1 ของโลก Facebook เป็นจำนวนเงินถึง 5 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็นเงินไทยราว 150,000 ล้านบาท จากการใช้ข้อมูลของผู้ใช้อย่างไม่เหมาะสม ในกรณี Cambridge Analytica ซึ่งมีการประเมินว่ามีข้อมูลผู้ใช้งานถึง 50 ล้านรายที่ถูกนำไปใช้เชื่อมโยงกับการเลือกตั้ง

ขาหื่นอย่านึกว่าจะรอด เพราะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ร่วมกับ Microsoft และ Carnegie Mellon ออกมาเผยแล้วว่า ทั้ง Facebook และ Google ต่างส่งบ็อทไปแฝงตัวอยู่ตามเว็บไซต์วาบหวิว เพื่อตามดูพฤติกรรมของเรา

ทุบหม้อข้าวบ้านคนอื่นจริง ๆ เลย สำหรับ Steve Wozniak ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple ที่ล่าสุดออกมาก่อหวอดชวนผู้คนให้เลิกใช้ Facebook หากยังกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวกันอยู่

เป็นช่วงยากลำบากของ Facebook ไม่น้อย กับการถูกประเทศในสหภาพยุโรปเริ่มคิดค่าปรับจากเหตุที่ปล่อยให้ Hate Speech เผยแพร่อยู่บนแพลตฟอร์ม ทว่า สิ่งที่น่าจับตากว่านั้นก็คือ ตัวเลขผู้ใช้งาน Facebook ที่มีบริษัทวิจัยตลาดบางแห่งออกมาบอกว่าเริ่มเข้าสู่ภาวะอิ่มตัว และมีการปรับตัวลดลงในบางประเทศอย่างน่าตกใจ

ด้วยจำนวนผู้ใช้งานกว่า 2.38 พันล้านคนต่อเดือน ปฏิเสธไม่ได้ว่า Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า และยังช่วยสร้างชุมชนที่เปิดโอกาสให้ผู้คนมารวมตัวกันเพื่อแบ่งปันความสนใจและประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันอีกด้วย

หากเราย้อนไปดูคำประกาศของ Mark Zuckerberg ถึงภารกิจที่เขาอยากจะพิชิตให้ได้ในแต่ละปี หลายคนอาจนึกไปถึงเรื่องของการซ่อมแซมโลกที่แบ่งแยกคนออกเป็นฝักฝ่ายให้กลับมาดีดังเดิม ฯลฯ แต่หากย้อนไปอ่านภารกิจที่เขาเคยได้ประกาศไว้เมื่อปี 2018 และอ่านลงมาเรื่อย ๆ ถึงด้านล่าง จะพบว่า เขายังมีอีกหนึ่งภารกิจที่ได้ประกาศไว้ นั่นก็คือ การศึกษาเกี่ยวกับเงินดิจิทัลให้ลึกซึ้งมากขึ้น ซึ่งหลังจากที่ได้ประกาศไปเมื่อ 18 เดือนก่อน เขาได้สร้างมันจนสำเร็จแล้ว กับโปรเจ็คเงินดิจิทัล Libra อันลือลั่น

หาก Apple ออกมาเขย่าสถาบันการเงินด้วย Apple Card บัตรเครดิตสุด Privacy เพื่อการใช้จ่ายบน Ecosystem ของ Apple เองแล้ว วันนี้ก็อาจถึงทีของ Facebook ที่จะเขย่าขวัญสถาบันการเงินกับเขาบ้างเช่นกัน ด้วยการแย้มไต๋โปรเจ็ค “Calibra” กระเป๋าสตางค์ดิจิทัลของทางค่ายที่จะใช้งานร่วมกับสกุลเงิน Libra ในเร็ว ๆ นี้

Facebook เปิดตัวฟีเจอร์รับบริจาคเลือดในสหรัฐอเมริกา โดยมาพร้อมการแจ้งเตือน และบอกได้ว่า หน่วยงานที่ต้องการเลือดนั้นอยู่ห่างออกไปเท่าไร รวมถึงขาดเลือดหมู่ใดอยู่บ้าง โดยผู้ที่สนใจใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวจะต้องลงทะเบียนก่อน ระบบจึงจะสามารถส่งแจ้งเตือนมาให้ได้

กลุ่มองค์กรไม่แสวงกำไร “Fight for the Future” จัดใหญ่ ยิงโปรเจ็คเตอร์ขึ้นกำแพงโรงแรม Nia สถานที่จัดงานประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นของ Facebook พร้อมข้อความประท้วงส่งตรงถึงบริษัทว่า “FIRE MARK ZUCKERBERG” โดยทางกลุ่มเผยว่า ไม่มีหนทางใดอีกแล้วที่จะแก้ปัญหาภายใน Facebook ได้นอกจากหนทางนี้ นั่นคือไล่ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook ออกไปซะ

สำหรับคนที่ใช้ Facebook เป็นประจำ คงพอคุ้นตากับฟีเจอร์ “ทำไมฉันจึงเห็นโฆษณานี้” กันอยู่แล้ว แต่ล่าสุด Facebook ได้ปล่อยอีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่ที่มีชื่อคล้าย ๆ กันว่า “ทำไมฉันจึงเห็นโพสต์นี้” (เป็นฟีเจอร์ที่ชื่อยาวทีเดียว) ออกมาอีกหนึ่งอัน โดย Facebook ออกมาบอกว่าฟีเจอร์นี้แหล่ะคือคำอธิบายที่ชัดเจนถึงการจัดอับดับโพสต์บนฟีดข่าวที่จะทำให้ผู้คนได้เข้าถึงโพสต์ที่มีความหมายมากที่สุดของตัวเอง

นับว่าเป็นการทำการตลาดที่น่ารักทีเดียว สำหรับ Facebook ที่อยากจะนำเสนอภาพลักษณ์ความใส่ใจเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว โดยให้ความรู้กับผู้ใช้งานผ่านการเปิดร้าน Facebook Cafe ซึ่งภายในร้านแห่งนี้เสิร์ฟเครื่องดื่มและขนมฟรี แต่ต้องแลกกับการตอบคำถามง่ายๆ เรื่องเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมให้ถูกต้อง

อดีตเพื่อนผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook อย่าง Chris Hughes ออกโรง ชี้ถึงเวลาที่ต้องทำลายแพลตฟอร์ม Social Media มากอิทธิพลนี้เสียที

  อุตสาหกรรมการเงินเจอรุกฆาตรอบสองจากบริษัทเทคโนโลยีเสียแล้ว เพราะไม่ใช่แค่ Apple Card รายเดียวที่จะมา Disrupt วงการจากฐานราก ล่าสุดมีรายงานจาก Wall Street Journal ระบุว่า Facebook ยักษ์ใหญ่แห่งวงการโซเชียลมีเดียก็เตรียมสร้างระบบเพย์เมนต์และสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองขึ้นมาแล้วเช่นกัน

หลังจากเปิดตัว Facebook Dating บริการของ Facebook ที่พยายามจะเกิดขึ้นมาเพื่อช่วยจับคู่คนที่มีความสนใจ – ไลฟ์สไตล์ คล้ายกัน ให้ได้เริ่มความสัมพันธ์ทดลองคุยกันแบบคู่เดท ล่าสุดบนเวที Facebook F8 ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อแสดงถึงวิสัยทัศน์ บริการใหม่ๆ และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับโปรดักท์เดิม ทาง Facebook ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ต่อยอดจาก Facebook Dating นั่นก็คือ “Secret Crushes” เพราะเชื่อว่าคนที่เป็นเพื่อนกัน จะสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ไปเป็นคู่รักได้ดีกว่าคนที่แทบไม่รู้จักกันเลย

สำหรับแบรนด์และนักการตลาด เชื่อว่าการล่มของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook, Instagram หรือแม้แต่ Whatsapp รวมถึงบริการเก็บข้อมูล Google Drive ที่ล่มไปก่อนหน้า คงทำให้หลายคนนั่งทำตาปริบ ๆ ว่าแล้ววันนี้จะทำงานกันอย่างไร

ไอ้เรืองถอยไป เพราะงานนี้ Facebook น่าจะเจ๋งกว่าไอ้เรืองไปแล้ว กับการจดสิทธิบัตรนำเทคโนโลยี Computer Vision ตรวจจับภาพที่ผู้ใช้งาน Facebook อัพโหลดขึ้นมาบนระบบว่ามีแบรนด์อะไรซ่อนอยู่ในนั้นบ้าง ซึ่งช่วยให้แพลตฟอร์มสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นไปช่วยในการยิงโฆษณาได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

หลังจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมโจมตีมัสยิดที่นิวซีแลนด์ซึ่งผู้ก่อการร้ายอาศัยช่องทางโซเชี่ยลมีเดียเผยแพร่การกระทำอันเลวร้ายของตัวเอง และมีผู้ที่แชร์คอนเทนต์นี้ไปมากกว่าที่คิด แต่ก่อนที่ Facebook ซึ่งตกเป็นเครื่องมือของสถานการณ์ดังกล่าวจะไล่ลบวิดีโอและภาพที่เกิดขึ้น คอนเทนต์ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและเกลียดชังกว่า 17 นาทีนี้ ก็ปรากฏขึ้นมาจนเฟซบุ๊กต้องลบไปมากกว่า 1.5 ล้านคอนเทนต์

ดูเหมือนจะเป็นวิกฤติของบริษัทเทคโนโลยีต่อเนื่องกันไปเลย เริ่มตั้งแต่ช่วงเช้าของเมื่อวานกับเหตุการณ์ที่ Gmail กับ Google Drive ล่มทั่วโลก ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่สามารถอัปโหลดไฟล์ขึ้นสู่ระบบได้ ก่อนที่ตกดึกเมื่อประมาณ 01.00 น.ของวันนี้ ปรากฏการณ์แอปฯล่มจะลามต่อเนื่องมาถึง Facebook และบริษัทในเครือที่เข้าใช้งานไม่ได้แล้วเช่นกัน

หลังจากเดือนกรกฏาคม ปี 2018 Facbook สร้างความตื่นเต้นให้กับคอฟุตบอลในประเทศไทยอย่างมากด้วยการคว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษฤดูกาล 2019-2022 ใน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม กัมพูชา และลาว ด้วยมูลค่าสูงถึง 200 ล้านปอนด์ แต่ดูเหมือนว่า การถ่ายทอดฟุตบอลผ่านทาง Facebook จะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ซะแล้ว 

ใครยิงแอดใส่เรา เชื่อว่าหลายคนอาจเคยตั้งคำถามนี้กับตัวเองเวลาเจอโฆษณาจาก Facebook  แต่ก็ทำได้แค่เก็บความสงสัยเอาไว้ แต่นับจากวันที่ 28 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป ด้วยนโยบายด้านความโปร่งใสตัวใหม่ของ Facebook เราจะได้ทราบกันแล้ว

ทุกวันนี้ หากเอ่ยชื่อ Instagram, WhatsApp และ Facebook Messenger ปฏิเสธไม่ได้ว่า นอกจากการเป็นแพลตฟอร์มแชทในเครือของ Facebook(เฟซบุ๊ก) แล้ว ทั้งหมดยังเป็นคู่แข่งกันกลาย ๆ ด้วย เพราะที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า แต่ละแพลตฟอร์มต่างพยายามเสนอบริการต่าง ๆ เพื่อแย่งชิงผู้ใช้งานตลอดมา

เมื่อ Search Engine ที่ดังที่สุด อาจไม่ได้สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุด โดยเฉพาะประสบการณ์สำหรับคนบนโลกโซเชียล ที่ต้องอัปเดตดราม่ากันรัว ๆ เราจึงมีโอกาสได้เห็น “Zanroo” เสิร์ชเอนจินสัญชาติไทยออกมาประกาศท้าชน Google ด้วยบริการเสิร์ชที่จะแสดงผลข้อมูลจาก Latest Information จากจักรวาลโซเชียล ทั้ง Facebook, Instagram, Twitter, YouTube, เว็บบอร์ดต่าง ๆ รวมถึงเว็บไซต์ข่าว ตบท้ายด้วยกราฟให้เห็นกันจะๆ ว่าตอนนี้ข้อความที่เรากำลังค้นหานั้น ฮอตฮิตขนาดไหน

เรียกว่าเป็นกระแสฮอตฮิตอย่างมากสำหรับแคมเปญ #10yearchallenge บน Facebook(เฟซบุ๊ก) และลามไปถึงโซเชียลมีเดียอื่นๆ เช่น Instagram(อินสตาแกรม) กับการโพสต์รูปตัวเองในปีนี้ (2019) เปรียบเทียบกับเมื่อ 10 ปีก่อน (2009) แต่เบื้องหลังความสนุกและยอดไลก์ของแคมเปญนี้อาจหมายถึง โอกาสดีของปัญญาประดิษฐ์ที่จะได้ข้อมูลวิวัฒนาการใบหน้าของผู้ใช้งานแต่ละรายไปศึกษากันฟรีๆ ซึ่งนั่นแปลว่าข้อมูลใบหน้าของเราซึ่งในระยะหลังถูกใช้เพื่อปลดล็อคดีไวซ์ ใส่แทนพาสเวิร์ด หรือจ่ายเงิน ได้ถูกนำไปใช้อย่างง่ายๆ

หลังจากเปิดตัว Facebook Dating มาตั้งแต่ Facebook F8 2018 ถึงบริการใหม่ที่จะช่วยให้คนโสดได้มีโอกาสหาคู่มากขึ้น วันนี้ Facebook Dating ใช้ได้แล้วในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ โดย Facebook ระบุว่า ฟีเจอร์ใหม่ในแอพพลิเคชั่น Facebook นี้ ได้ถูกออกแบบมาเฉพาะเพื่อให้ผู้คนสามารถควบคุม ประสบการณ์การสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายด้วยตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยสามารถจับคู่กับบุคคลที่ มีความชื่นชอบและความสนใจคล้ายกันผ่านหน้าโปรไฟล์ Dating ซึ่งตอนนี้อยู่ในแอพ Facebook บนแอนดรอยด์เท่านั้น ส่วน iOS จะเปิดตัวตามมาติดๆ เร็วๆ นี้

Facebook สัญญาไว้ว่าจะให้อิสระในการทำธุรกิจของ Instagram แต่เมื่อเวลาผ่านไป อิสระที่เคยได้รับกลับน้อยลง กระทั่งวันนี้! 8 ปีหลังจากการเปิดตัวครั้งแรก และ 6 ปี หลังจากที่ Instagram อยู่ในอ้อมอกของ Facebook 2 ผู้ร่วมก่อตั้ง Kevin Systrom ซีอีโอ และ Mike Krieger ซีทีโอ ของ Instagram ก็ประกาศลาออกจากบริษัท