เลย์ออฟ

  ไมโครซอฟท์ (Microsoft) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ และบริษัทที่ได้ชื่อว่ามีมูลค่ามากเป็นอันดับสามของโลกรองจาก Apple และ Aramco ประกาศเลย์ออฟพนักงานทั่วโลก ราว 1,000 ตำแหน่ง หลังจากก่อนหน้านี้เคยเลย์ออฟพนักงานไปแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคม โดยส่วนงานที่ถูกเลย์ออฟนั้น สื่อตะวันตกระบุว่าอิงจากความสำคัญของธุรกิจ อย่างไรก็ดี พบว่ามีพนักงานที่ถูกเลย์ออฟบางส่วนมาจากธุรกิจเกม Xbox ของบริษัทด้วย

ความต้องการคอมพิวเตอร์พีซี อุปกรณ์ที่เคยเฟื่องฟูเมื่อยุคที่ทั่วโลกเกิดการล็อกดาวน์กำลังจะมาถึงจุดอิ่มตัวแล้วก็เป็นได้ เพราะมีรายงานว่า ค่ายผู้ผลิตโปรเซสเซอร์ยักษ์ใหญ่อย่าง อินเทล (Intel) อาจต้องประกาศเลย์ออฟพนักงานครั้งใหญ่ในเร็ว ๆ นี้ เพื่อรัดเข็มขัด และทำองค์กรให้ Lean ที่สุดแทน

Amazon เตรียมเลย์ออฟพนักงานในส่วนของ Amazon Care ซึ่งเป็นบริการด้านสุขภาพ (Health Care) แล้ว พร้อมเตรียมปิดตัวบริการเทเลเฮลท์ (Telehealth) ในสิ้นปีนี้ (31 ธันวาคม)

  ธุรกิจการเดินรถไฟของญี่ปุ่นที่เคยเป็นอุตสากรรมสุดเท่ห์มาวันนี้อาจถึงคราวต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว โดยผู้ให้บริการอย่าง JR East ซึ่งให้บริการในพื้นที่ที่เป็นหัวใจสำคัญของญี่ปุ่นอย่างกรุงโตเกียว รวมถึงพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศ เผยว่า มีแผนจะเลย์ออฟพนักงานมากถึง 4,000 คน

หากการทำงานในสายเทคโนโลยีเคยทำให้หลายคนมั่นใจว่า อาชีพของพวกเขาจะมั่นคง ล่าสุดมีผลการสำรวจของบริษัท Blind เปิดเผยว่า ตอนนี้ความมั่นใจของคนทำงานในสายเทคโนโลยีหดหายไปเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะพนักงาน Twitter ที่พบว่าพวกเขารู้สึกมั่นคงในงานที่ทำลดลง 91% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วเลยทีเดียว

สำรวจพบ ประกาศรับสมัครงานเกี่ยวกับ Metaverse ในเว็บไซต์หางานต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา ลดลง 81% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา (เมษายน – มิถุนายน 2022) แม้ว่างานในสายเทคโนโลยีจะยังมีประกาศรับสมัครมากอยู่ก็ตาม ด้านบริษัทผู้สำรวจชี้ อาจเป็นปัญหา “ตำแหน่งงานเฟ้อ” มากกว่า

เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) เลย์ออฟพนักงานเพิ่มอีก 300 ตำแหน่ง หลังจากเคยประกาศเลย์ออฟครั้งแรกไปแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยในตอนนั้น มีการเลย์ออฟพนักงานไป 150 ตำแหน่ง และข่าวนี้ยังส่งผลให้หุ้นของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม

  แพลตฟอร์มให้บริการซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตฯ ทยอยประกาศเลย์ออฟพนักงานรับตลาดดิ่ง โดยล่าสุดเป็นแบรนด์ Crypto.com จากสิงคโปร์ที่ตัดสินใจเลย์ออฟพนักงาน 260 คน หรือประมาณ 5% และยังมีบริษัท Gemini Exchange ของพี่น้อง Winklevoss และ BlockFi ที่มี Peter Thiel ให้การสนับสนุนก็ออกมาประกาศว่าจะลดพนักงาน 10% และ 20% ตามลำดับด้วยเช่นกัน

จากวิกฤติไวรัส Covid-19 ที่ระบาดไปทั่วโลก หนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างมากก็คือสิงคโปร์ โดยมีการประมาณตัวเลขจีดีพีของสิงคโปร์ในปีนี้ว่าอาจจะติดลบถึง 7% ซึ่งอาจนำไปสู่ตัวเลขคนตกงานที่เพิ่มขึ้นเป็น 200,000 คนภายในสิ้นปีนี้

โลกถึงเวลาเปลี่ยน Microsoft ประกาศเลย์ออฟเจ้าหน้าที่กองบรรณาธิการผู้ดูแลเซ็คชั่น Microsoft News และ MSN แล้ว โดยหันมาใช้ AI ในการเลือกข่าว และคอนเทนต์ต่าง ๆ ที่จะนำเสนอบน MSN.com แทน

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ Dara Khosrowshahi ซีอีโอคนปัจจุบันของ Uber ได้ออกมาประกาศเลย์ออฟพนักงานไปมากถึง 3,700 คน ล่าสุดการเลย์ออฟรอบสองก็เกิดขึ้นตามมา เมื่อ Uber ตัดสินใจประกาศตัวเลขเพิ่มอีก 3,000 ตำแหน่ง พร้อมปิดตัว 45 ออฟฟิศด้วย

จากที่ WPP ยักษ์ใหญ่ในวงการโฆษณาได้เคยออกมาเผยถึงมาตรการประหยัดค่าใช้จ่ายในการแถลงผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ล่าสุดดูเหมือนว่าจะมีการหยิบมาตรการต่าง ๆ เหล่านั้นมาปฏิบัติแล้ว โดยหนึ่งในแผนก็คือการปรับลดพนักงานของ GroupM

ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีหลายรายเริ่มออกมาเลย์ออฟพนักงานเพื่อให้สอดรับกับสภาพเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น Uber, Lyft, WeWork ฯลฯ แต่การเลย์ออฟพนักงานจากบริษัทเทคโนโลยีที่ได้รับการพูดถึงและยกย่องมากที่สุดครั้งหนึ่งในยุค Covid-19 อาจเป็น “Airbnb”

หลังจากเปิดศักราชใหม่ 2020 มาได้ไม่กี่วัน ข่าวคราวในวงการสตาร์ทอัพระดับโลกที่น่าจับตาอาจเป็นเรื่องของการ “เลย์ออฟพนักงาน” ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

SmartNews สตาร์ทอัพด้านข่าวของญี่ปุ่นขอโตสวนกระแส Apple-Google-Facebook กับการพัฒนาแอปพลิเคชันนำเสนอข่าวที่ไม่เพียงเอาใจผู้อ่านด้วยคอนเทนต์ที่ Personalization ให้ตรงกับความชอบเพียงอย่างเดียว แต่จะนำเสนอข่าวสารจากอีกด้านให้ผู้อ่านรับทราบด้วย โดยผู้ก่อตั้งประกาศบุกตลาดสหรัฐอเมริกา หวังใช้เวทีเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 เป็นสถานที่วัดกึ๋น

นี่อาจเป็นสัญญาณที่น่าจับตาทีเดียวว่าวิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่กำลังเริ่มต้นแล้วหรือไม่ เหตุ Uber และยักษ์ใหญ่ในวงการการเงินโลกอย่าง Citigroup ออกมาประกาศหั่นพนักงานหลายร้อยตำแหน่ง แถมนักวิเคราะห์มองว่า ในฟากของอุตสาหกรรมการเงิน Citigroup จะไม่ใช่รายสุดท้าย เพราะบริษัททั่วโลกต่างมีมุมมองต่อเรื่องดังกล่าว “ไม่ต่างกัน”

จะเรียกว่าเป็นผลพวงจากนโยบายกีดกันการค้าของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ก็ว่าได้ เพราะหลังจากขึ้นแบล็กลิสต์ Huawei จนสร้างความปั่นป่วนให้กับแบรนด์และผู้ใช้งานทั่วโลกไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ล่าสุด ทาง Huawei ก็ออกมาประกาศแผนปลดพนักงานในสหรัฐอเมริกาบ้างแล้ว โดยคาดว่าจะมีการปลดคนงานนับร้อยตำแหน่งจากการประกาศครั้งนี้เลยทีเดียว