เกือบครบ 3 ปีที่ คุณสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ คัมแบ็คช่อง 3 ในตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจทีวี โดยเริ่มงานวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 พร้อมประกาศวิชั่นใหม่ทรานส์ฟอร์ม ช่อง 3 ไม่ได้เป็นแค่ “ทีวี” อีกต่อไป แต่เป็นผู้ผลิตคอนเทนต์รายใหญ่ทุกแพลตฟอร์ม ด้วยกลยุทธ์ Single Content Multiple Platform กับโอกาสสร้างรายได้จากทุกช่องทาง
การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ทำให้รายการข่าวคึกคัก สถานีทีวีเพิ่มผังรายการพิเศษเข้ามาดึงเรตติ้งผู้ชม “พุทธ อภิวรรณ” ดีเดย์วันที่ 19 เมษายน จัดรายการ “ลุยชนข่าว” 7 วัน ยึดไพรม์ไทม์ช่อง 8 เวลา 19.00-22.15 น. จันทร์-ศุกร์ ส่วนเสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.20-22.15 น. ด้าน “ไทยรัฐทีวี” ดึง “จอมขวัญ” คืนจอจัดเวทีดีเบตสัญจรทั่วประเทศ
หลังจาก เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ซีอีโอ RS ประกาศคว้าตัว คุณพุทธอภิวรรณ องค์พระบารมี นักเล่าข่าวชื่อดังมาเป็นผู้อำนวยข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 คนใหม่ สยบทุกข่าวลือการดึง “พุทธอภิวรรณ” ไปร่วมงานด้วย หลังลาจอช่องอมรินทร์ทีวี เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา
หลังจากโบกมือลาช่องอมรินทร์ทีวี ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2566 เป็นที่จับตามองว่า “พุทธอภิวรรณ องค์พระบารมี” หรือที่รู้จักกันในนาม “พุทธอภิวรรณ” นักเล่าข่าวฝีปากกล้า จะหวนคืนสู่จอ เพื่อจ้อข่าวที่ช่องไหนกันแน่
หลังได้กรรมกรข่าว “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” มาประจำหน้าจอ “ช่อง 3” ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2564 ดันเรตติ้งรายการข่าวขยับขึ้นยกแผง รายได้โฆษณากลับมาอู้ฟู่อีกครั้ง เรียกว่าเติบโตทุกไตรมาส ปิดปี 2564 “บีอีซี เวิลด์” พลิกจากขาดทุน กลับมา “กำไร” 761 ล้านบาท ในรอบ 3 ปี
ปัจจุบันแม้จำนวนผู้ใช้ดิจิทัลเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ทีวี” ยังเป็นช่องทางที่เข้าถึงคนไทยได้มากที่สุด ครัวเรือนไทย 95% สามารถเข้าถึงทีวีได้ โดยผู้ใช้ส่วนหนึ่งได้เปลี่ยนจากการดูผ่านเครื่องเล่นทีวีแบบดั้งเดิมเป็นช่องทางดิจิทัล
เรียกว่ากำลังท็อปฟอร์ม สำหรับรายการข่าว “ช่อง 3” หลัง “กรรมกรข่าว” สรยุทธ สุทัศนะจินดา คืนจอตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 จัด 2 รายการ 7 วันรวด ยังมี “หนุ่ม กรรชัย” ดันเรตติ้ง “โหนกระแส” พุ่งแรง ทำเอาผังรายการข่าวดังโฆษณาแน่น เดือนเมษายนนี้ประเดิมเพิ่มเวลา 3 รายการข่าว ช่วงเสาร์-อาทิตย์
หลังเข้าสู่ยุคทีวีดิจิทัล BEC หรือช่อง 3 ของตระกูลมาลีนนท์ ต้องเจอกับภาวะขาดทุนหนักมาตั้งแต่ปี 2561 จนต้องเปลี่ยนแม่ทัพ-ลดขนาดองค์กรครั้งใหญ่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา วันนี้เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญของ ช่อง 3 เมื่อตัวเลขปี 2564 โชว์กำไรในรอบ 3 ปี
“พีพีทีวี” ประกาศแผนงานฝ่ายข่าวปี 2565 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “เรื่องข่าว เรื่องใหญ่” วางเกมรุกเดินหน้าผลิตข่าวต่างประเทศต่อเนื่อง หลังรายการ “รอบโลก DAILY” โดย กรุณา บัวคำศรี ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งเรตติ้งในกลุ่มรายการประเภทเดียวกัน
การคืนจอ “ช่อง 3” ของผู้ประกาศข่าวคนดัง “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ใน 2 รายการหลัก “เรื่องเล่าเช้านี้ และ เรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์” ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ดันเรตติ้งรายการข่าวขยับขึ้นมาต่อเนื่อง เป็นปัจจัยสำคัญทำให้ ไตรมาส 2 ปีนี้ BEC มีรายได้ 1,504 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% กำไรสุทธิ 184 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 169% ถือเป็นการกลับมาทำกำไร …
ถือฤกษ์งามยามดี 8 สิงหาคม 2564 ครบรอบ 13 ปี รายการ “ข่าว 3 มิติ” ภายใต้ความมีมิติที่ “ลึก รวดเร็ว รอบด้าน” รายงานเนื้อหาทันเหตุการณ์ เชิงสืบสวนสอบสวน เจาะลึกวิเคราะห์กับสถานการณ์ประจำวันแบบสดๆจากพื้นที่และอัปเดทในทุกสถานการณ์ข่าวตลอด 13 ปี ภายใต้การบริหารและดำเนินรายการโดยผู้ชายชื่อ “กิตติ สิงหาปัด”
นับตั้งแต่ปี 2557 “บีอีซี เวิลด์” เจ้าของ “ช่อง 3” ต้องเจอการเปลี่ยนแปลงของ Media Landscape ในยุคทีวีดิจิทัล มีคู่แข่งขันช่องฟรีทีวีมากขึ้น อีกทั้งพิธีกรข่าวเบอร์หนึ่ง “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ต้องยุติบทบาทลาจอในเดือนมีนาคม 2559 ทำให้เรตติ้งและรายได้ช่อง 3 ลดลง จนเริ่มขาดทุนในปี 2561 ถึงปี 2563
ช่อง 7HD ต้อนรับเดือนพฤษภาคม ด้วยการเนรมิตสตูดิโอข่าว “จอยาวที่สุด” เพียงหนึ่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทัพผู้ประกาศข่าวกว่า 30 คนและทีมข่าวมืออาชีพ ร่วมเสิร์ฟข่าวรอบด้านอย่างเป็นกลาง รวดเร็วในทุกช่วงข่าว รับชมพร้อมกันวันที่ 3 พฤษภาคมนี้ เวลา 07.30 น. ในรายการสนามข่าว 7 สี ทาง ช่อง 7HD หมายเลข 35
พิธีกรข่าวคนดัง “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ประเดิมคืนจอทีวี ช่อง 3 วันแรก ในรายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 ระบุดีใจที่ได้กลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง รู้สึก “ตื่นเต้นมือสั่น”
ประกาศเตรียมคืนจอทีวี 2 รายการข่าวดังทางช่อง 3 ในเดือนพฤษภาคมนี้ กับการกลับมาของ “ตำนาน” พิธีกรเล่าข่าวเบอร์หนึ่ง “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” หลังจากหายจากหน้าจอไป 5 ปี คงต้องจับตาการรีเทิร์นครั้งนี้ จะส่งผลบวกต่อเม็ดเงินโฆษณา ดึงผู้ชมกลับมาที่สื่อทีวีได้แค่ไหน และดูดฐานคนดูคืนจากทีวีดิจิทัลช่องใด “มีเดีย อินเทลลิเจนซ์” หรือ MI มีเดีย เอเยนซีคาดการณ์ไว้ดังนี้
วิกฤติ COVID-19 ฉุดอุตสาหกรรมโฆษณาปี 2563 ต่ำสุดในรอบ 20 ปี เม็ดเงินอยู่ที่ 73,720 ล้านบาท -18% หลังเจอโควิดคลัสเตอร์ใหม่ สมุทรสาคร ตามต่อด้วยตลาดบางแค เริ่มเห็นชัดว่าคนไม่ตระหนกกับสถานการณ์และไม่กระทบระดับ “เมกะ เอฟเฟกต์” เหมือนระลอกแรก ทำให้อุตสาหกรรมโฆษณาผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนตั้งแต่เดือนมีนาคม
นับจากวันที่เจ้าพ่อเล่าข่าว “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ลาจอช่อง 3 ไปเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2559 หลังศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 ในคดีไร่ส้ม-อสมท กระทั่งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษาศาลฎีกา เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 ตัดสินลงโทษจำคุก 6 ปี 24 เดือน
นอกจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบกับธุรกิจแล้ว ในปี 2563 กลุ่มบีอีซี ยังต้องเจอกับการปรับโครงสร้างในองค์กร เปลี่ยนตัวแม่ทัพจาก “อริยะ พนมยงค์” เป็น “สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์” ลูกหม้อคนเดิม ที่มากับวิชั่น “ช่อง 3” เป็นมากกว่าทีวี กับกลยุทธ์สร้างคอนเทนต์หารายได้ในทุกช่องทาง ด้วยกลยุทธ์ Single Content Multiple Platform ที่เริ่มเห็นสัญญาณบวก เมื่อตัวเลขขาดทุนลดลง
หลังแม่ทัพคนเดิมในยุคก่อตั้ง Nation TV “อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ” หวนคืนค่ายบางนากับภารกิจ สร้าง “สถาบันสื่อมืออาชีพ” ด้วยเป้าหมายการเป็น CNN เมืองไทย และก้าวสู่ “สื่อระดับอาเซียน” ประเดิมเปิดผังข่าวเฟสแรกเริ่ม 16 ธันวาคมนี้ พร้อมดึง “ต๊ะ พิภู” นั่งตำแหน่งผู้บริหารคอนเทนต์ออนไลน์ และเตรียมลงจอผู้ประกาศข่าวเช้า เริ่มมกราคม 2564
เป็นสถานการณ์ช็อกโลกที่ยังควบคุมการแพร่ระบาดได้ยาก สำหรับโรคติดเชื้อไวรัส Covid-19 มาตรการดูแลเหตุการณ์ในประเทศไทย อยู่ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เริ่มจำกัดการเดินทาง ขอความร่วมมือให้ “อยู่บ้าน” work from home ทำให้เวลานี้ “ทีวี” กลายเป็นสื่อที่คนไทยหันมาเปิดดูมากขึ้น เพื่ออัพเดทข้อมูลภาครัฐ ที่ยกระดับคุมเข้มกันแบบรายวัน ต้องเรียกว่า “รายการข่าว” เป็นคอนเทนท์ฮีโร่ โกยเรตติ้งทีวีในจังหวะนี้
เมื่อก้าวเข้าสู่วันที่ 1 ต.ค. 2562 ช่องดิจิทัลทีวีทั้ง 7 ช่อง ที่ตัดสินใจคืนใบอนุญาตกับทาง กสทช. ก็จะอำลาจอ ทำการปิดสถานีครบถ้วนอย่างสมบูรณ์ หลัง 2 ช่องสุดท้าย คือ ช่อง 28 หรือ 3SD และช่อง 13 หรือช่อง 3 Family ได้ทำการออกอากาศมาจนถึงวันสุดท้ายในวันที่ 30 กันยายน ที่ผ่านพ้นไป
การแข่งขันของธุรกิจทีวีดิจิทัล ชัยชนะวัดกันที่ “เรตติ้ง” ว่าใครจะสามารถทำได้มากกว่ากัน เพราะแบรนด์สินค้าหรือเอเจนซี่โฆษณา ใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกซื้อเวลาโฆษณา แต่การจะได้มาซึ่งเรตติ้ง คงต้องกลับมาดูกันที่พื้นฐานสำคัญของการทำธุรกิจทีวี จะต้องเริ่มต้นจากมี “คอนเทนต์” คุณภาพ ซึ่งต้องมีองค์ประกอบสำคัญหลายส่วน หนึ่งในนั้น คือ ผู้แสดงนำ หากเป็นคอนเทนต์ประเภทละคร หรือ พิธีกร-ผู้ดำเนินรายการ หากเป็นรายการวาไรตี้ และ ผู้ประกาศ หากเป็นรายการประเภทข่าว เพราะพวกเขาเหล่านั้น มีบทบาทสำคัญต่อการ “ดึงดูดและตรึง” ผู้ชมไว้ที่หน้าจอทีวี
