twitter

Elon Musk มหาเศรษฐีเจ้าของ X.com เปิดแผนจัดการบ็อทบนแพลตฟอร์ม โดยอาจจะเป็นการคิด “ค่าบริการ” กับ “ผู้ใช้งานหน้าใหม่” ที่เขาให้เหตุผลว่า การจ่ายเงินเมื่อต้องการมีส่วนร่วมกับแพลตฟอร์มนั้น สามารถลดผู้ใช้งานประเภทบ็อท – โทรลล์ลงได้นั่นเอง

อาจเป็นฟีเจอร์ที่ทำให้หลายคนคิดถึงเพลง “มาช้ายังดีกว่าไม่มา” เมื่อทวิตเตอร์ (Twitter) หรือ X เปิดให้บริการ “วิดีโอคอลและการโทรด้วยเสียง” บนแพลตฟอร์มแก่ผู้ใช้งานทั่วไปแล้ว หลังจากเคยเปิดให้บริการเฉพาะผู้ใช้งานแบบพรีเมียมไปก่อนหน้านี้

สองซีอีโอ Mark Zuckerberg จาก Meta และ Elon Musk จาก X.com งานเข้าอีกครั้ง หลังหน่วยงานกำกับดูแลของสหภาพยุโรปส่งจดหมายพร้อมขีดเส้นตายให้ตอบกลับภายใน 24 ชั่วโมง ระบุให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมอนิเตอร์ – ลบข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล – กลุ่มฮามาส โดยหากทำไม่ได้ตามที่กฎหมายกำหนด อาจเสี่ยงถูกปรับสูงถึง 6% ของรายได้ของบริษัท

ทวิตเตอร์ (Twitter) หรือแพลตฟอร์มที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น X.com ภายใต้การนำของอีลอน มัสก์ (Elon Musk) มหาเศรษฐีของสหรัฐอเมริกาเริ่มแล้วกับการแบ่งรายได้ให้กับผู้ใช้งานที่มีเครื่องหมายถูกสีฟ้าอยู่ด้านหลังชื่อแล้ว และการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ทำให้มีผู้ใช้ทวิตเตอร์จำนวนไม่น้อยออกมาโชว์ตัวเลขรายได้ที่ได้รับจากแพลตฟอร์มกันอย่างคึกคัก

 แผนการรีแบรนด์ Twitter เป็น X ของอีลอน มัสก์ อาจมีอุปสรรครออยู่ข้างหน้า หลังมีรายงานระบุว่า Meta บริษัทของ Mark Zuckerberg ก็ถือครองเครื่องหมายการค้าที่ใช้สัญลักษณ์ X อยู่เช่นกัน รวมถึงบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ด้วย

อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ประกาศรีแบรนด์แพลตฟอร์ม Twitter เป็น X รับเช้าวันจันทร์ โดยในตอนนี้ หากพิมพ์ x.com ก็จะสามารถเข้าถึง Twitter ได้อีกหนึ่งช่องทาง

ทวิตเตอร์ (Twitter) โซเชียลมีเดีย แหล่งรวม “เทรนด์” จุดกระแสสังคม ของบรรดา “ด้อม” ต่างๆ ถือเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมของคนรุ่นใหม่ Gen Z

อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ยอมรับแล้ว รายได้ค่าโฆษณาของทวิตเตอร์ (Twitter) แพลตฟอร์มที่เขาซื้อมาในราคา 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นั้นได้ลดลงไปแล้วถึง 50% และทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดติดลบ รวมถึงมีภาระหนี้ที่สูงมาก

แม้จะมีบริษัทในมือให้บริหารมากมาย แต่ดูเหมือนอีลอน มัสก์ (Elon Musk) จะยังมองหาโอกาสใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเขาตัดสินใจประกาศสร้างบริษัทใหม่ชื่อ “xAI” สำหรับพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งอาจกลายเป็นคู่แข่ง ChatGPT ได้อย่างที่เคยกล่าวไว้

แม้จะถูก Elon Musk ซีอีโอคนดังจากโลก EV ล้อเลียนว่า Zuck is a cuck แถมยังถูกท้าชก MMA แต่ในเรื่องการสร้างแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ต้องบอกว่า ชื่อชั้นของ Mark Zuckerberg ไม่เป็นสองรองใคร โดยเฉพาะผลงานของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียน้องใหม่อย่าง Threads ที่ยอดผู้ใช้งานกำลังวิ่งฉิว แตะ 100 ล้านแอคเคาน์ได้ภายในเวลาเพียง 4 วันหลังเปิดตัว

หลังจากเปิดตัวและได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจนมียอดผู้สมัครใช้บริการแอปพลิเคชัน Threads แอปพลิเคชันของค่าย Meta แตะ 30 ล้านครั้งในเวลาเพียง 16 ชั่วโมง แต่ในอีกด้านหนึ่ง ดูท่าว่า Threads จะเป็นแอปที่มีโอกาสเกิดคดีความเร็วที่สุดด้วยเช่นกัน เพราะทนายความของอีลอน มัสก์ (Elon Musk) เจ้าของแพลตฟอร์ม Twitter ได้ยื่นหนังสือถึงมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) โดยในจดหมายมีใจความว่าการพัฒนา Threads อาจไม่ได้ใสสะอาดอย่างที่คิด

เตรียมเปิดตัวแล้ว คู่แข่ง “Twitter” จากฝั่ง Meta ในชื่อ “Thread” โดยจะเปิดให้ดาวน์โหลดจาก App Store ได้ในวันที่ 6 กรกฎาคมนี้

เมื่อคืนที่ผ่านมา หนึ่งในแฮชแท็กที่ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ (Twitter) ก็คือ #ทวิตล่ม ซึ่งในความเป็นจริง ไม่ใช่เป็นการล่ม แต่ตัวแพลตฟอร์มได้ปรับนโยบาย “การจำกัดการมองเห็น” หรือ View Limit และผู้ที่ออกมาไขความจริงข้อนี้ก็คืออีลอน มัสก์ (Elon Musk) ผู้ควักเงิน 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐซื้อกิจการทวิตเตอร์ไปนั่นเอง

คนรักการขีดเขียนบนแพลตฟอร์มทวิตเตอร์ (Twitter) อาจชอบใจมากขึ้น เมื่อทางบริษัทประกาศเปิดตัวสองฟีเจอร์ใหม่ที่อนุญาตให้เจ้าของบัญชีโพสต์ได้ยาวถึง 25,000 ตัวอักษร และสามารถเพิ่มรูปในบทความได้มากถึง 4 ชิ้น

หลังจากนั่งในตำแหน่งซีอีโอทวิตเตอร์ (Twitter) มานาน และสร้างข่าวอื้อฉาวมาไม่น้อย วันนี้ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) น่าจะได้พักจากเรื่องราวยุ่ง ๆ ดังกล่าวและกลับไปโฟกัสธุรกิจรถยนต์เทสล่า (Tesla) ได้อย่างสบายใจขึ้นแล้ว เมื่อเขาได้ประกาศชื่อซีอีโอคนใหม่นั่นคือ “Linda Yaccarino” อดีตผู้บริหาร NBCUniversal ที่คาดว่าจะช่วยเรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้จากบรรดานักการตลาด

ในเมื่อการออกมาเรียกร้องให้ยุติการพัฒนา Generative AI อย่าง ChatGPT ของอีลอน มัสก์ (Elon Musk) และเหล่าคนมีชื่อเสียงในแวดวงซิลิคอนวัลเลย์ไม่เป็นผล มีความเป็นไปได้ว่ามหาเศรษฐีคนดังได้ตัดสินใจเข้าร่วมในสมรภูมินี้แทนเสียแล้ว โดยมีรายงานว่าเขาได้เจรจากับนักลงทุนหลายคนทั้งใน SpaceX และ Tesla เพื่อลงเงินในสตาร์ทอัพใหม่ และมีการเฟ้นหานักวิจัย และวิศวกรเข้ามาร่วมทีมแล้ว

กลายเป็นบริษัทนอกตลาดเต็มตัว หลังมีข้อมูลระบุว่า Twitter ได้ถูกควบกิจการเข้าไปอยู่ภายใต้ X Corp และกลายเป็นบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาไปแล้วเรียบร้อย โดยมีเจ้าของใหม่อย่างอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ทวีตยืนยันถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

การเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่และการรักษาชื่อเสียงเป็นของคู่กัน ซึ่งในตอนนี้อาจเป็นงานยากของ Twitter ภายใต้การนำของ Elon Musk ไปเสียแล้ว เนื่องจากมีรายงานว่า Twitter กำลังถูกฟ้องข้อหาไม่ยอมจ่ายค่าสินค้าและบริการให้กับบริษัทอื่น ๆ มากถึง 6 ราย

Bloomberg สื่อดังของตะวันตกจัดอันดับให้ Elon Musk เป็นบุคคลแรกในประวัติศาสตร์โลกที่ “สูญเสียความมั่งคั่ง” สูงสุดถึง 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปีเดียว โดยปัจจัยหลักมาจากมูลค่าหุ้นที่ลดลงถึง 65% ของ Tesla ในปี 2022 นั่นเอง ขณะที่เศรษฐีอเมริกันสูญเสียความมั่งคั่งรวมกันมากถึง 660,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงที่สุดในโลกเช่นกัน

อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ประกาศแล้ว พร้อมลาออกจากซีอีโอทวิตเตอร์ (Twitter) หากพบใครที่ “Foolish” มากพอที่จะมารับตำแหน่งแทน พร้อมเผยหน้าที่หลังตำแหน่งซีอีโอ โดยบอกว่าจะไปดูแลทีมซอฟต์แวร์และเซิร์ฟเวอร์แทน

อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ขายหุ้นเทสล่า (Tesla) ล็อตใหญ่อีกครั้ง โดยรอบนี้มีจำนวนมากถึง 22 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.25 แสนล้านบาทเลยทีเดียว

หลังจากซื้อกิจการทวิตเตอร์ (Twitter) มาได้สำเร็จด้วยมูลค่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) มหาเศรษฐีคนดังก็สร้างสีสันให้กับแพลตฟอร์ม Twitter มาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเลย์ออฟพนักงาน การเรียกพนักงานกลับเข้าออฟฟิศ ฯลฯ ล่าสุด ทาง Elon Musk ได้ออกมาประกาศว่า จะลบผู้ใช้งานที่ไม่ได้เข้ามาเล่นทวิตเตอร์นานแล้วออกไปประมาณ 1.5 พันล้านแอคเคาน์ เพื่อลดปัญหาไม่มีชื่อเหลือมากพอให้กับผู้เล่นรายใหม่

  ถือเป็นรายงานที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับนักการตลาดที่สนใจใน Influencer Marketing กับรายงานชื่อ State of Influence in Asia 22/23 ของ AnyMind Group ที่รวบรวมข้อมูลจากอินฟลูเอนเซอร์กว่า 500,000 รายบนแพลตฟอร์ม AnyTag และแคมเปญการทำ Influencer Marketing กว่า 4,000 แคมเปญใน 7 ตลาดได้แก่ กัมพูชา ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย …

การหาเงิน และเล่นกับเงิน 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐของอีลอน มัสก์ (Elon Musk) เพื่อมาซื้อทวิตเตอร์ (Twitter) ในปี 2022 อาจเป็นสีสันที่เรียกความสนใจได้จากทั่วโลก แต่หลังจากนี้ อาจเป็นบทพิสูจน์ฝีมือจริง ๆ ของ Elon Musk กับการทำให้เงิน 44,000 ล้านเหรียญที่ซื้อไปออกดอกออกผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ความวุ่นวายรอบใหม่กำลังเริ่มต้นขึ้น หลังมีแบรนด์ยักษ์ใหญ่จำนวนมากออกมาประกาศยุติการลงโฆษณาบนทวิตเตอร์ (Twitter) แล้วเป็นการชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่า ขอรอดูความเปลี่ยนแปลงของสื่อโซเชียลมีเดียรายนี้ก่อนว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปภายใต้การกุมบังเหียนของอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ด้านพนักงานที่ถูกเลย์ออฟเตรียมฟ้องร้องบริษัทครั้งใหญ่แล้วเช่นกัน

สื่อตะวันตกคาด “อีลอน มัสก์” (Elon Musk) ผู้บริหารคนใหม่ของทวิตเตอร์ (Twitter) มีแผนจะเลย์ออฟพนักงานออกมากถึง 50% หรือเท่ากับ 3,700 ตำแหน่ง เพื่อลดค่าใช้จ่ายขององค์กร หลังดีลการควบรวมกิจการมูลค่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐของเจ้าพ่อคนดังเสร็จสิ้น พร้อมนำทีมโปรแกรมเมอร์ระดับท็อปจากเทสล่า (Tesla) กว่า 50 ชีวิตเข้าตรวจสอบซอร์สโค้ด Twitter แล้ว

มีรายงานว่า ณ ตอนนี้ Parag Agrawal ซีอีโอทวิตเตอร์ (Twitter) และ Ned Segal ผู้บริหารฝ่ายการเงินได่โบกมือลาบริษัทเทคโนโลยีชื่อดัง Twitter อย่างเป็นทางการแล้ว เมื่ออีลอน มัสก์ (Elon Musk) เจ้าพ่อเทสล่า (Tesla) ได้เข้าซื้อกิจการของ Twitter เป็นที่เรียบร้อย ด้านวอชิงตันโพสต์รายงานเพิ่มเติมด้วยว่า  Vijaya Gadde ผู้บริหารฝ่ายกฎหมายก็ถูกให้ออกด้วยเช่นกัน

หลังจากออกมากลับลำว่าจะซื้อ Twitter อีกรอบ มหาเศรษฐีคนดังอย่าง Elon Musk ก็เดินหน้าสร้างความหวั่นไหวให้กับพนักงาน Twitter ทันที โดยมีรายงานจาก The Washington Post ระบุว่า Elon Musk มีแผนจะเลย์ออฟพนักงานมากถึง 75% เพื่อดึงดูดเงินจากนักลงทุน

  ไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็นพฤติกรรม “น้ำกลิ้งบนใบบอน” ของคนที่ได้ชื่อว่า มหาเศรษฐีและทรงอิทธิพลมากเป็นอันดับต้น ๆ แต่อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ก็ทำสิ่งนี้สำเร็จ กับการออกมายอมรับว่า ต้องการซื้อ Twitter แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่อไป ในมูลค่าเดิมที่เคยคุยกันไว้ 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งการเปลี่ยนใจรอบนี้ของ Elon Musk ทำให้หุ้น Twitter พุ่งขึ้นทันทีถึง 22% เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

แม้จะเป็นแพลตฟอร์มที่เน้นสื่อสารด้วยข้อความสั้นๆ แต่ความ Real และเร็วของ “ทวิตเตอร์” (Twitter) ก็ส่งผลให้เกิดบทสนทนาที่โดนใจคนไทยและสร้างอิมแพ็คในวงกว้างมากมาย จนทำให้ทวิตเตอร์กลายเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ครองใจผู้บริโภคชาวไทยมาอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางโซเชียลมีเดียที่เกิดขึ้นมากมาย