Work from Home

  บางที “ความจริง” ก็ทำให้หลายคนเขินกันเลยทีเดียว เพราะมีการสำรวจพบว่า พนักงานที่ได้สิทธิ์ Work From Home หรือได้สิทธิ์การทำงานแบบไฮบริดจากออฟฟิศนั้นมีการเล่นเกม “ซ่อนตาดำ” ในระหว่างวันมากถึง 48%

การ Work From Home (WFH) หรือ Work From Anywhere ที่เคยทำได้ในช่วง Covid-19 ระบาด และทำให้พนักงานหลายคนติดใจ มาถึงตอนนี้ แนวคิดดังกล่าวอาจกำลังทำให้หลายคนต้องตกงานแทนแล้วก็เป็นได้ เพราะมีการสำรวจในสหราชอาณาจักร พบว่า คนที่ได้รับประโยชน์จากการ WFH ส่วนใหญ่ คือกลุ่มแรงงานที่มีทักษะสูง และอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่เป็นหลัก

  การชวนพนักงานกลับเข้าออฟฟิศที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในเวลานี้อาจต้องหลีกไป เมื่อ Home Depot ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมค้าปลีกด้านของตกแต่งบ้าน – วัสดุก่อสร้างของสหรัฐอเมริกาขอเล่นใหญ่กว่านั้น ด้วยการส่งจดหมายให้พนักงานในองค์กร ต้องลงไปทำงานที่หน้าร้านแบบเต็มวัน แม้แต่พนักงานระดับบริหารก็ไม่เว้น

  บริษัทฟังทางนี้ หากอยากชวนพนักงานกลับเข้าออฟฟิศให้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม เพราะมีการสำรวจจาก Cisco พบว่า พนักงานที่อยากกลับเข้าออฟฟิศนั้นเป็นเพราะอยาก “ทำงานร่วมกัน” ขณะที่เลย์เอาท์การจัดออฟฟิศแบบเดิมไม่ได้ส่งเสริมในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด นั่นจึงทำให้พนักงานบางส่วนมองว่า การกลับเข้าออฟฟิศที่บริษัทพยายามทำอยู่นั้น “ไม่เกิดประโยชน์” นั่นเอง

ในช่วงที่เกิดการระบาดของ Covid-19 เชื่อว่ามีบริษัทหลายแห่งกังวลว่า การ Work From Home อาจทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง เพราะพนักงานจะเอาแต่ใส่ชุดนอน นั่งดู Netflix ระหว่างทำงาน จนไม่ได้ผลงานเป็นชิ้นเป็นอันอะไร แต่สุดท้าย โลกก็ผ่านการทำงานแบบ Hybrid มาแล้ว 3 ปี และหลาย ๆ บริษัทก็พบว่า พนักงานของตัวเองสามารถทำงานได้ดีไม่ต่างจากการเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศจนหลายบริษัทต้องคงสถานะการทำงานแบบ Work From Home เอาไว้

ในโลก Hybrid Workplace ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีบริษัทจำนวนไม่น้อยพยายามกวักมือเรียกพนักงานให้กลับเข้าออฟฟิศ และก็แน่นอนว่ามีพนักงานบางส่วนที่ยังไม่อยากกลับเข้าไป นั่นจึงเกิดอีกหนึ่งพฤติกรรมที่มีชื่อว่า Coffee Badging หรือการกลับเข้าออฟฟิศเพื่อไปพบปะกันแค่ชั่วเวลาดื่มกาแฟหมดแก้ว จากนั้นทุกคนก็เข้าสู่โหมดแยกย้ายกลับไปทำงานของตัวเองต่อ (ที่บ้าน) ตามเดิม

มีการสำรวจในสหรัฐอเมริกา พบประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับการทำงานแบบ Work from home ว่าเพราะเหตุใดรูปแบบการทำงานดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไปได้ในโลกทุกวันนี้ ซึ่งผลการสำรวจพบว่า ชาว Millennials คือผู้ขับเคลื่อนคนสำคัญ ส่วน Gen Z กับ Baby Boomers นั้นตรงกันข้าม เพราะอยากกลับเข้าออฟฟิศจะแย่แล้ว

ผลการศึกษาจาก CalendarLabs พบ 26% ของพนักงานที่ Work From Home มีเซ็กส์ระหว่างเวลาทำงาน โดยในระหว่างกุ๊กกิ๊กกันนั้น พวกเขามีการใช้อิโมจิ หรือสัญลักษณ์บางอย่างใส่ลงใน Calendar เพื่อแสดงให้เพื่อนร่วมงานเห็นว่า พวกเขากำลังยุ่งกับงานด้วย เช่น อิโมจิไฟลุก, อิโมจิเฮดโฟน หรือบางคนก็ใส่อิโมจิแซนด์วิชที่เหมือนจะบอกกลาย ๆ ว่ากำลังรับประทานอาหารอยู่ และ “ห้ามรบกวน” ในเวลานี้

Zoom ผู้ให้บริการวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ชื่อดังแห่งยุค Pandemic ประกาศปิดฉากการทำงานแบบ Work From Anywhere แล้ว โดยพบว่าบริษัทมีการกำหนดเงื่อนไขในการกลับเข้าออฟฟิศให้พนักงานที่อาศัยอยู่ในรัศมี 80 กิโลเมตรจากออฟฟิศใน San Jose จะต้องกลับเข้าออฟฟิศอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน

ซีอีโอไอบีเอ็ม (IBM) ส่งจดหมายถึงพนักงาน 260,000 ชีวิต เผยถ้าอยากก้าวหน้าในอาชีพ หรือเติบโตเป็นผู้บริหาร การกลับเข้าออฟฟิศอาจเป็นประโยชน์มากกว่าการทำงานจากระยะไกล (Remote Work)

ก่อนหน้านี้เราอาจได้เห็นพนักงานในบริษัทเทคโนโลยีออกมาเรียกร้องให้มีการทำงานแบบ Remote Work (การทำงานโดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศ) กันจนเป็นเรื่องปกติ แต่มาตอนนี้อาจถึงยุคที่บริษัทเทคโนโลยีจะเป็นฝ่ายกำหนดกติกาบ้างแล้ว โดยล่าสุดเป็นทาง TikTok ที่มีรายงานว่า บริษัทได้ส่งจดหมายเตือนไปยังพนักงานที่ทำงานแบบ Remote Work ว่าขอให้แน่ใจว่าบ้านของพวกเขานั้นอยู่ไม่ห่างจากออฟฟิศเกินไป ไม่เช่นนั้น อาจเป็นตัวพนักงานเองที่ต้องโบกมือลาไปหางานใหม่แทน

ส่องไอเท็มจาก New York Times แจก “กล่องข้าวสองชั้น” หวังดึงใจพนักงานกลับเข้าออฟฟิศ ด้านพนักงานบอกว่า กล่องข้าวไม่ตอบโจทย์เงินเฟ้อ ขอเปลี่ยนเป็นขึ้นค่าแรงแทนเถอะนะ

การทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Work) หรือการทำงานแบบยืดหยุ่นที่อนุญาตให้พนักงานไม่ต้องเข้าออฟฟิศได้ในบางวัน อาจกำลังทำให้พฤติกรรมของคนทำงาน ตลอดจนตารางการทำงานมีการเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย โดยมีการสำรวจจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา พบว่า พนักงานที่ได้รับโอกาสให้ทำงานแบบไฮบริดได้นั้นอาจจะทำงานน้อยลงในวันที่ได้ทำงานที่บ้าน แต่ไปทำงานเพิ่มในช่วงที่เข้าออฟฟิศ หรือวันหยุดสุดสัปดาห์แทน

เนเธอร์แลนด์ เตรียมขึ้นแท่น “ประเทศแรกของโลก” ที่อนุญาตให้ “การทำงานจากบ้าน” หรือ Work From Home เป็นสิทธิของลูกจ้างที่สามารถร้องขอต่อนายจ้างได้

การศึกษา “ฟิวเจอร์ ช้อปเปอร์” (Future Shopper) ของ “วันเดอร์แมน ธอมสัน” ซึ่งเป็นรายงานการวิจัยผู้บริโภคเชิงคุณภาพและการศึกษาวัฒนธรรมและพฤติกรรมของคนกลุ่มต่างๆ เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นจริงในโลกออนไลน์ คอมเมิร์ซ และพฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภคในยุคช้อปปิ้งออนไลน์มาแรง

หลังจากที่บริษัทดังของญี่ปุ่นอย่างฮิตาชิ หรือพานาโซนิคเริ่มปรับเปลี่ยนแนวคิดด้านการทำงาน สู่การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์มากขึ้นเรื่อย ๆ ล่าสุด อีกหนึ่งผู้ให้บริการโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นอย่าง NTT ก็มีแผนขั้นกว่า กับการอนุญาตให้ “พนักงานในประเทศ” ทำงานจากนอกออฟฟิศได้แล้ว โดยคาดว่าจะเริ่มอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคมนี้

การลาออกจากภาวะเบิร์นเอาท์ในช่วงที่เราต้องทำงานแบบ Work From Home กำลังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลายองค์กร แต่องค์กรไหนที่ไม่อยากให้พนักงานเบิร์นเอาท์จนต้องลาออกกันยกแผง มีผลวิจัยว่า การปรับเปลี่ยนองค์กรให้เป็นมิตรกับสัตว์มากขึ้น (Pet-Friendly) ก็มีส่วนช่วยให้พนักงานรู้สึกดีกับองค์กร และมีพลังในการทำงานมากขึ้นเช่นกัน

นอกจากข่าวดีว่าสถานการณ์การแพร่ระบาด Covid-19 กำลังจะผ่านพ้นไป และหลาย ๆ ประเทศเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้เมืองกลับมาเป็นเมืองอีกครั้ง แต่ในฟากของภาคธุรกิจ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในสัญญาณดี ๆ เหล่านี้ ก็มีความท้าทายอยู่เช่นกัน เพราะพฤติกรรมของพนักงานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา “ได้เปลี่ยนไปแล้ว” และการจะได้ใจพนักงานในยุคหลัง Covid-19 ภาคธุรกิจอาจต้องมีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น

“อิริค ชมิดท์” (Eric Schmidt) อดีตซีอีโอกูเกิล (Google) ให้ทัศนะคนรุ่นใหม่ อยากเติบโตแบบมืออาชีพต้องเข้ามาทำงานในออฟฟิศ พร้อมย้ำ ที่ Google เติบโตจากสตาร์ทอัพจนเป็นบริษัทมูลค่าเกือบ 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐก็เพราะการทำงานแบบนี้

เป็นบริษัทเทคโนโลยีรายแรก ๆ ที่มีการชวนพนักงานกลับเข้าออฟฟิศอย่างเป็นทางการ เพียงแต่การกลับมาของพนักงาน Facebook ครั้งนี้อาจไม่เหมือนเดิม เพราะทาง The New York Times มีรายงานว่า สวัสดิการบางอย่างที่บริษัทเคยมีให้นั้นได้ “เปลี่ยนไปแล้ว”

การเป็นบริษัทเทคโนโลยีอาจไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำงานผ่านเทคโนโลยี (ระยะไกล) ได้ตลอดไป เพราะยักษ์ใหญ่ในวงการอย่าง Google ได้มีการประกาศว่าจะกลับมาเปิดออฟฟิศแล้วในวันที่ 4 เมษายนนี้

ผลสำรวจชี้ มีพนักงานออฟฟิศแค่ 3% ที่บอกว่าโอเคกับการกลับมาทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ แต่ใจจริงแล้วพวกเขาอยากเข้าออฟฟิศแค่ “อังคาร-พุธ-พฤหัส” เท่านั้น ซึ่งหากหัวหน้ากดดันให้กลับมาทำงานฟูลไทม์เหมือนเมื่อก่อน Covid-19 ระบาด พวกเขามีแนวโน้มจะลาออกด้วย

จากการทำงานแบบ 996 (เข้างานเก้าโมงเช้า เลิกงานสามทุ่ม และทำงานต่อเนื่องหกวันต่อสัปดาห์) ของอาลีบาบาที่เคยทำให้หลายคนอึ้งในการอุทิศตัวของคนทำงานกันไปแล้ว มาถึงวันนี้พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเช่นกัน เมื่อทางอาลีบาบากรุ๊ป ได้ออกมาประกาศผ่านจดหมายข่าวว่า พนักงานสามารถทำงานได้อย่างยืดหยุ่นมากกว่าเดิม และสามารถเลือก Work From Home ได้ 1 วันต่อสัปดาห์ด้วย

แผนกลับเข้าออฟฟิศของ Meta (หรืออดีต Facebook) ถูกเลื่อนอีกครั้ง เพราะล่าสุดทางบริษัทตัดสินใจเลื่อนเปิดออฟฟิศเป็นวันที่ 28 มีนาคมแล้ว และพนักงานต้องเข้ารับการฉีดวัคซีน Covid-19 เพิ่มด้วย

วิกฤต Covid-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลายบริษัทต้องเจอศึกหนักทั้งจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปและความก้าวล้ำของเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวกันอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีวันหยุด ในมุมของการบริหารจัดการคนในองค์กร หรือ HR ปีนี้ก็เจอการเปลี่ยนแปลงจากรูปแบบการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนเดิม รวมถึงการทำงานกับหลากหลาย Gen มากขึ้น โดยเฉพาะ Gen Z ส่งผลให้ HR ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานใหม่ให้ทันสถานการณ์และคนทำงานยุคใหม่

Work From Home กันยาว ๆ อาจทำให้น้องหมาหลายบ้านติดเจ้าของ และคุ้นเคยกับการที่มีพวกเราอยู่ในบ้านใกล้ ๆ เขาเสมอ แต่เมื่อการกลับเข้าออฟฟิศเริ่มเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง น้องหมาก็อาจถูกโจมตีด้วยความเหงาเข้าอย่างจัง

ทิม คุก ซีอีโอแอปเปิล (Apple) ส่งอีเมลแจ้งพนักงานในสหรัฐอเมริกา “ถึงเวลากลับเข้าออฟฟิศได้แล้ว” โดยจะเริ่มอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ปีหน้า

ผู้จัดงานคอมมาร์ตชี้ กำลังซื้อสินค้าไอทียังสูงทั้ง “โน้ตบุ๊ก – คอมพ์ DIY” อานิสงค์ Work From Home รวมถึงกระแส “จัดโต๊ะคอม” บนโซเชียลมีเดีย คาดงาน Commart Bright ปลายปีทำยอด 3,000 ล้านบาทไม่ยาก พร้อมเปิดอินไซต์ “บริการรับหิ้ว” สินค้าในงานสร้างยอดขายแตะ 2 ล้านบาท ทั้งที่มีทีมงานรับหิ้วไม่ถึง 5 คน

แม้ว่ากระแสการทำงานจากที่บ้านหรือ Work From Home เริ่มกลายเป็นเรื่องปกติของคนทำงาน แต่ก็ไม่วายที่คนทำงานจะมีประเด็นเป็นระยะ ๆ เกี่ยวกับบรรยากาศภายในบ้านว่าไม่ส่งเสริมให้การทำงานนั้นราบรื่นสักเท่าไร 

ในปี 2554 “IKEA” (อิเกีย) เชนค้าปลีกยักษ์ใหญ่เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน จากสวีเดน เข้ามาปักหมุดในประเทศไทยสาขาแรกที่เมกาบางนา ถึงวันนี้เข้าสู่ปีที่ 10 ของการดำเนินธุรกิจในไทย